ปูนซิเมนต์ไทยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3.3 แสนล้านบาท โต 10% จากปีก่อน มาจากธุรกิจเคมิคอลที่มีกำลังการผลิตเพิ่มจากโรงงานใหม่ที่มาบตาพุด โรงงานกระดาษคราฟท์ที่เวียดนามเดินเต็มที่และรายได้จากM&A จับตาราคาซีเมนต์จ่อขึ้นหลังราคาถ่านหินพุ่ง “กานต์”ปลื้มกำไรสุทธิปี 53 ทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง 3.73 หมื่นล้านบาท ประกาศจ่ายปันผลงวดปี53หุ้นละ 12.50 บาท ตั้งเป้า5ปีแสนล้านบาท เน้นซื้อM&Aทั้งในและต่างประเทศ
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดยอดขายรวมเพิ่มขึ้น10%อยู่ที่ระดับ 3.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มียอดขายรวม 301,323 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในธุรกิจหลักเติบโตขึ้น มาจากกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานปิโตรเคมีที่มาบตาพุดที่ทยอยแล้วเสร็จอย่างช้าในไตรมาส 3 นี้ และแนวโน้มส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับแนฟธา(สเปรด)ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ ทำให้รายได้ธุรกิจเคมิคอลดีกว่าปีที่แล้วแน่นอนธุรกิจกระดาษจากโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์และโรงกล่องที่เวียดนามเดินเครื่องจักรเต็มที่ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตกระดาษใหญ่ติดอันดับ 1ใน3ของเวียดนาม และราคากระดาษคราฟท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากราคาเศษกระดาษที่ปรับตัวสูงขึ้น และรายได้จากการซื้อกิจการหรือร่วมทุน (M&A)ในอนาคต รายได้จากธุรกิจโลจิสติกต์และเทรดดิ้ง
ส่วนธุรกิจซีเมนต์ปีนี้คาดว่าปริมาณการใช้ซีเมนต์ในไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% โดยบริษัทฯประเมิณความต้องการใช้ซีเมนต์โต7-8% เนื่องจากโครงการลงทุนของภาครัฐทั้งโครงการรถไฟฟ้าและโครงการจากงบไทยเข้มแข็ง ส่วนราคาปูนซีเมนต์จะปรับขึ้นลงเป็นไปตามดีมานด์ซัปพลายของตลาด ยอมรับว่าขณะนี้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากโดยเฉพาะถ่านหินที่ราคาเกิน 100 เหรียญ/ตัน
ทำให้มีโอกาสที่ราคาซีเมนต์จะปรับเพิ่มขึ้น
“ในปีนี้ทั่วโลกกำลังการผลิตแครกเกอร์ใหม่เข้ามา 6 ล้านตัน ต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำลังผลิตใหม่เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ทั่วโลกยังสูงอยู่ ทำให้สเปรดดีขึ้นช่วงไตรมาส2-3 นี้ ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทตัดสินใจถูกที่ลงทุนโรงแครกเกอร์ใหม่ที่ใช้แนฟธาทำให้มีกำลังผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้น ซึ่งสเปรดเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน(PP)สูงถึง 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่สเปรดเม็ดพลาสติกHDPEแคบกว่าอยู่ที่ 440 เหรียญสหรัฐ/ตัน “
****กำไรปี53ทุบสถิติสูงสุด
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2553 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54%เป็นสถิติการทำกำไรสุทธิสูงสุดของเครือซิเมนต์ไทย เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น และมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในบริษัทรวม รวมทั้งกำไรจากการขายหุ้นบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) ประมาณ 8.8 พันล้านบาท ซึ่งหากหักกำไรพิเศษจากการขายหุ้นPTTCH แล้วถือว่ากำไรสุทธิไม่สูงสุดในประวัติการณ์ บริษัทฯมียอดขายรวมสุทธิ 301,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%จากปี2553 มาจากธุรกิจปิโตรเคมีที่เติบโตขึ้น 43% และธุรกิจกระดาษโต 21% ซีเมนต์โตขึ้น 5%
ในงวดไตรมาส 4/2553 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213% เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้นPTTCHประมาณ 8.8 พันล้านบาท และมียอดขายสุทธิ 76,252 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯจะเสนอที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 12.50 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 4.50 บาทเมื่อวันที่ 26 ส.ค.53 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลประจำปี 2553งวดสุดท้ายอีก 8 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในวันที่ 27 เม.ย.54
สำหรับแผนการลงทุน 5 ปีนี้(2554-2558) บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ได้แก่โครงการปิโตรเคมีที่มาบตาพุด การปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพการผลิตลงทุนเฉลี่ยปีละ 4-5 พันล้านบาท การลงทุนโครงการใหม่แบบกรีนฟิลว์ เช่นโครงการผลิตปูนซีเมนต์ที่อินโดนีเซีย และการซื้อกิจการ(M&A)ทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯจะเน้นการทำM&A โดยจะเน้นพิเศษในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง และเคมิคอลที่มีมูลค่าเพิ่มในสหรัฐฯ เป็นต้น
ส่วนโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม มูลค่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ติดปัญหาด้านการจัดหาไฟแนนซ์ เนื่องจากปีที่แล้วเวียดนามมีความผันผวนด้านการเงิน ทำให้การจัดหาเงินกู้สำหรับโครงการขนาดใหญ่ทำได้ยาก คงต้องใช้เวลามากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่ามีความชัดเจนในกลางปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯได้เข้าไปศึกษาเพื่อดูลู่ทางการเข้าไปลงทุนที่ทวาย สหภาพพม่า เนื่องจากพม่ามีการปรับตัวและแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นไปเรี่อยๆ ที่ผ่านมา บริษัทฯส่งออกปูนไปจำหน่ายที่พม่าจำนวน 1.7 ล้านตันในปีที่แล้ว
สำหรับแหล่งเงินลงทุนนั้น ขณะนี้บริษัทฯมีเงินสดในมือสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท นับว่าสูงมาก ทำให้บริษัทฯมีความพร้อมด้านการเงินที่ซื้อกิจการM&Aในภูมิภาคนี้ และมีโอกาสที่การลงทุนจะสูงกว่า 1 แสนล้านบาทใน 5ปีข้างหน้า
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้คาดว่าจีดีพีมีโอกาสขยายตัว 5% แม้ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นจะอ่อนตัวลงมาก็ตาม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปีนี้เพิ่มขึ้นทำให้ดีมานด์สินค้าลดลง ซึ่งแบงก์ชาติคงต้องเข้ามาดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.75-3.00%ยังถือว่าต่ำอยู่ นักลงทุนสามารถขยายการลงทุนเพิ่มเติมได้ หากการเมืองนิ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดี
**** ออกหุ้นกู้ใหม่1.5หมื่นล.
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯที่ครบกำหนดไถ่ถอน 2 ชุด ชุดแรกครบกำหนดไถ่ถอน1 เม.ย.54 วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5.75% และชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอน 1 พ.ย.54 วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4.5% ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นกับราคาตลาด
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดยอดขายรวมเพิ่มขึ้น10%อยู่ที่ระดับ 3.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มียอดขายรวม 301,323 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในธุรกิจหลักเติบโตขึ้น มาจากกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานปิโตรเคมีที่มาบตาพุดที่ทยอยแล้วเสร็จอย่างช้าในไตรมาส 3 นี้ และแนวโน้มส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับแนฟธา(สเปรด)ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ ทำให้รายได้ธุรกิจเคมิคอลดีกว่าปีที่แล้วแน่นอนธุรกิจกระดาษจากโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์และโรงกล่องที่เวียดนามเดินเครื่องจักรเต็มที่ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตกระดาษใหญ่ติดอันดับ 1ใน3ของเวียดนาม และราคากระดาษคราฟท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากราคาเศษกระดาษที่ปรับตัวสูงขึ้น และรายได้จากการซื้อกิจการหรือร่วมทุน (M&A)ในอนาคต รายได้จากธุรกิจโลจิสติกต์และเทรดดิ้ง
ส่วนธุรกิจซีเมนต์ปีนี้คาดว่าปริมาณการใช้ซีเมนต์ในไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% โดยบริษัทฯประเมิณความต้องการใช้ซีเมนต์โต7-8% เนื่องจากโครงการลงทุนของภาครัฐทั้งโครงการรถไฟฟ้าและโครงการจากงบไทยเข้มแข็ง ส่วนราคาปูนซีเมนต์จะปรับขึ้นลงเป็นไปตามดีมานด์ซัปพลายของตลาด ยอมรับว่าขณะนี้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากโดยเฉพาะถ่านหินที่ราคาเกิน 100 เหรียญ/ตัน
ทำให้มีโอกาสที่ราคาซีเมนต์จะปรับเพิ่มขึ้น
“ในปีนี้ทั่วโลกกำลังการผลิตแครกเกอร์ใหม่เข้ามา 6 ล้านตัน ต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำลังผลิตใหม่เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ทั่วโลกยังสูงอยู่ ทำให้สเปรดดีขึ้นช่วงไตรมาส2-3 นี้ ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทตัดสินใจถูกที่ลงทุนโรงแครกเกอร์ใหม่ที่ใช้แนฟธาทำให้มีกำลังผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้น ซึ่งสเปรดเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน(PP)สูงถึง 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่สเปรดเม็ดพลาสติกHDPEแคบกว่าอยู่ที่ 440 เหรียญสหรัฐ/ตัน “
****กำไรปี53ทุบสถิติสูงสุด
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2553 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54%เป็นสถิติการทำกำไรสุทธิสูงสุดของเครือซิเมนต์ไทย เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น และมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในบริษัทรวม รวมทั้งกำไรจากการขายหุ้นบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) ประมาณ 8.8 พันล้านบาท ซึ่งหากหักกำไรพิเศษจากการขายหุ้นPTTCH แล้วถือว่ากำไรสุทธิไม่สูงสุดในประวัติการณ์ บริษัทฯมียอดขายรวมสุทธิ 301,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%จากปี2553 มาจากธุรกิจปิโตรเคมีที่เติบโตขึ้น 43% และธุรกิจกระดาษโต 21% ซีเมนต์โตขึ้น 5%
ในงวดไตรมาส 4/2553 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213% เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้นPTTCHประมาณ 8.8 พันล้านบาท และมียอดขายสุทธิ 76,252 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯจะเสนอที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 12.50 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 4.50 บาทเมื่อวันที่ 26 ส.ค.53 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลประจำปี 2553งวดสุดท้ายอีก 8 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในวันที่ 27 เม.ย.54
สำหรับแผนการลงทุน 5 ปีนี้(2554-2558) บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ได้แก่โครงการปิโตรเคมีที่มาบตาพุด การปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพการผลิตลงทุนเฉลี่ยปีละ 4-5 พันล้านบาท การลงทุนโครงการใหม่แบบกรีนฟิลว์ เช่นโครงการผลิตปูนซีเมนต์ที่อินโดนีเซีย และการซื้อกิจการ(M&A)ทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯจะเน้นการทำM&A โดยจะเน้นพิเศษในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง และเคมิคอลที่มีมูลค่าเพิ่มในสหรัฐฯ เป็นต้น
ส่วนโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม มูลค่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ติดปัญหาด้านการจัดหาไฟแนนซ์ เนื่องจากปีที่แล้วเวียดนามมีความผันผวนด้านการเงิน ทำให้การจัดหาเงินกู้สำหรับโครงการขนาดใหญ่ทำได้ยาก คงต้องใช้เวลามากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่ามีความชัดเจนในกลางปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯได้เข้าไปศึกษาเพื่อดูลู่ทางการเข้าไปลงทุนที่ทวาย สหภาพพม่า เนื่องจากพม่ามีการปรับตัวและแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นไปเรี่อยๆ ที่ผ่านมา บริษัทฯส่งออกปูนไปจำหน่ายที่พม่าจำนวน 1.7 ล้านตันในปีที่แล้ว
สำหรับแหล่งเงินลงทุนนั้น ขณะนี้บริษัทฯมีเงินสดในมือสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท นับว่าสูงมาก ทำให้บริษัทฯมีความพร้อมด้านการเงินที่ซื้อกิจการM&Aในภูมิภาคนี้ และมีโอกาสที่การลงทุนจะสูงกว่า 1 แสนล้านบาทใน 5ปีข้างหน้า
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้คาดว่าจีดีพีมีโอกาสขยายตัว 5% แม้ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นจะอ่อนตัวลงมาก็ตาม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปีนี้เพิ่มขึ้นทำให้ดีมานด์สินค้าลดลง ซึ่งแบงก์ชาติคงต้องเข้ามาดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.75-3.00%ยังถือว่าต่ำอยู่ นักลงทุนสามารถขยายการลงทุนเพิ่มเติมได้ หากการเมืองนิ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดี
**** ออกหุ้นกู้ใหม่1.5หมื่นล.
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯที่ครบกำหนดไถ่ถอน 2 ชุด ชุดแรกครบกำหนดไถ่ถอน1 เม.ย.54 วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5.75% และชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอน 1 พ.ย.54 วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4.5% ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นกับราคาตลาด