3บิ๊กธุรกิจผลิตกระเบื้องหลังคา ประสานเสียงปกป้องผู้บริโภค เผยหากเลิกใช้ไครโซไทล์ในกระเบื้องหลังคา สินค้าจะหายไปจากตลาด 50% กระเบื้องไม่มีใยหินราคาพุ่งทันที 30%
สืบเนื่องจากที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะนำเรื่องการเสนอยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายใน 1 เดือนนั้น นายประกิต ประทีปะเสน ประธานกรรมการ บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) " DRT " กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ที่ยืนยันได้ว่า ในประเทศไทยมีผู้ที่ป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดที่เกิดจากใยหินไครโซไทล์แม้แต่รายเดียว ทั้งๆ ที่ใยหินได้นำมาใช้ในอุตสาหกรรมของประเทศไทยกว่า 50 ปีแล้ว และเป็นที่ยอมรับกันมาโดยตลอดในเรื่องของคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกระเบื้องมุงหลังคา ผ้าเบรก และท่อน้ำ ซึ่งต้องการคุณสมบัติที่แข็งแกร่ง ทนทาน ทนความร้อน
“ ก่อนที่กระทรวงอุตสาหกรรมและครม.จะตัดสินใจอย่างไร จะต้องรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน และต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่ชัดเจนเพียงพอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะหากไม่ให้ใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบของใยหิน กระเบื้องมุงหลังคากว่า 50% จะหายไปจากตลาด และเมื่อสินค้าที่ไม่มีใยหินมีไม่เพียงพอรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค ราคาที่สูงกว่าอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก และการเปลี่ยนจากสินค้าใยหินไปเป็นไม่มีใยหิน ไม่เหมือนการเปลี่ยนหลอดไฟ แค่เรื่องการเตรียมวัตถุดิบก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แล้วยังเรื่องเครื่องจักรในการผลิตอีก ในประเทศญี่ปุ่นให้เวลาถึง 5 ปี” นายประกิตกล่าว
ด้าน นายอุฬาร เกรียวสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท กระเบื้องโอฬาร จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยพบว่าใยหินไครโซไทล์มีอันตรายต่อสุขภาพเลย เนื่องจากกระเบื้องมุงหลังคามีส่วนผสมของใยหินเพียง 6-8% เท่านั้น และติดแน่นในผลิตภัณฑ์ ไม่ฟุ้งกระจาย และแม้ไครโซไทล์ เข้าสู่ร่างกายในประมาณที่ไม่มากและไม่ได้สะสมเป็นเวลานาน ร่างกายก็กำจัดออกเองได้ แล้วทำไมเราต้องทำร้ายผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาถูก หากเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ไม่มีใยหินนอกจากจะจ่ายแพงตั้งแต่แรกแล้ว อายุการใช้งานของกระเบื้องมุงหลังคาที่ใช้ภายนอกยังสั้นไม่เกิน 3 ปีก็ชำรุดแล้ว ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ในขณะที่กระเบื้องใยหินมีอายุการใช้งาน 10-20 ปีขึ้นไป
" สำหรับสารทดแทนที่นำมาใช้แทนใยหินไครโซไทล์นั้น มีราคาสูงกว่ากันถึง 10 เท่า ทำให้ไทยต้องเสียดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึงปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท และราคาจำหน่ายกระเบื้องมุงหลังคาที่ไม่มีใยหินก็สูงขึ้นทันทีประมาณ 30% และต้องสูงกว่านี้อีกแน่ หากกระเบื้องใยหินหายไปจากตลาดถึง 50% จะส่งผลไปถึงราคาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ที่จะต้องสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย"
นอกจากนี้ ในภาคการเกษตร จะส่งผลกระทบต่อฟาร์มเลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าหลังคาที่ใช้ไครโซไทล์เหมาะสมกับการเลี้ยงสุกร แต่หากใช้หลังคาเหล็กจะโตช้ากว่า ต้นทุนการเลี้ยงย่อมเพิ่มมากกว่า หรือหากใช้หลังคาที่ไม่มีใยหิน ก็ต้องเปลี่ยนหลังคาบ่อยมาก จากกรดและความชื้นที่เกิดขึ้นจากมูลสุกร ดังนั้น ราคาเนื้อหมูจะเพิ่มขึ้นอีกมาก หากเลิกใช้ไครโซไทล์
นายวิเชียร ผู้พัฒน์ ประธานที่ปรึกษา บริษัท ไทยกระเบื้องหลังคา จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีขนาดเล็ก และไม่มีองค์ความรู้ในการผลิตที่ใช้สารทดแทนใยหินที่มากพอ อีกทั้งการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาที่ไม่มีใยหิน มีการลงทุนสูง หากต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักรทั้งหมดเพื่อไปผลิตกระเบื้องที่ไม่มีใยหิน จำเป็นต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ล้านบาท และต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตนานถึง 3-4 ปี บริษัทคงต้องเลิกกิจการไปเลย
สืบเนื่องจากที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะนำเรื่องการเสนอยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายใน 1 เดือนนั้น นายประกิต ประทีปะเสน ประธานกรรมการ บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) " DRT " กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ที่ยืนยันได้ว่า ในประเทศไทยมีผู้ที่ป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดที่เกิดจากใยหินไครโซไทล์แม้แต่รายเดียว ทั้งๆ ที่ใยหินได้นำมาใช้ในอุตสาหกรรมของประเทศไทยกว่า 50 ปีแล้ว และเป็นที่ยอมรับกันมาโดยตลอดในเรื่องของคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกระเบื้องมุงหลังคา ผ้าเบรก และท่อน้ำ ซึ่งต้องการคุณสมบัติที่แข็งแกร่ง ทนทาน ทนความร้อน
“ ก่อนที่กระทรวงอุตสาหกรรมและครม.จะตัดสินใจอย่างไร จะต้องรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน และต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่ชัดเจนเพียงพอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะหากไม่ให้ใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบของใยหิน กระเบื้องมุงหลังคากว่า 50% จะหายไปจากตลาด และเมื่อสินค้าที่ไม่มีใยหินมีไม่เพียงพอรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค ราคาที่สูงกว่าอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก และการเปลี่ยนจากสินค้าใยหินไปเป็นไม่มีใยหิน ไม่เหมือนการเปลี่ยนหลอดไฟ แค่เรื่องการเตรียมวัตถุดิบก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แล้วยังเรื่องเครื่องจักรในการผลิตอีก ในประเทศญี่ปุ่นให้เวลาถึง 5 ปี” นายประกิตกล่าว
ด้าน นายอุฬาร เกรียวสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท กระเบื้องโอฬาร จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยพบว่าใยหินไครโซไทล์มีอันตรายต่อสุขภาพเลย เนื่องจากกระเบื้องมุงหลังคามีส่วนผสมของใยหินเพียง 6-8% เท่านั้น และติดแน่นในผลิตภัณฑ์ ไม่ฟุ้งกระจาย และแม้ไครโซไทล์ เข้าสู่ร่างกายในประมาณที่ไม่มากและไม่ได้สะสมเป็นเวลานาน ร่างกายก็กำจัดออกเองได้ แล้วทำไมเราต้องทำร้ายผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาถูก หากเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ไม่มีใยหินนอกจากจะจ่ายแพงตั้งแต่แรกแล้ว อายุการใช้งานของกระเบื้องมุงหลังคาที่ใช้ภายนอกยังสั้นไม่เกิน 3 ปีก็ชำรุดแล้ว ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ในขณะที่กระเบื้องใยหินมีอายุการใช้งาน 10-20 ปีขึ้นไป
" สำหรับสารทดแทนที่นำมาใช้แทนใยหินไครโซไทล์นั้น มีราคาสูงกว่ากันถึง 10 เท่า ทำให้ไทยต้องเสียดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึงปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท และราคาจำหน่ายกระเบื้องมุงหลังคาที่ไม่มีใยหินก็สูงขึ้นทันทีประมาณ 30% และต้องสูงกว่านี้อีกแน่ หากกระเบื้องใยหินหายไปจากตลาดถึง 50% จะส่งผลไปถึงราคาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ที่จะต้องสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย"
นอกจากนี้ ในภาคการเกษตร จะส่งผลกระทบต่อฟาร์มเลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าหลังคาที่ใช้ไครโซไทล์เหมาะสมกับการเลี้ยงสุกร แต่หากใช้หลังคาเหล็กจะโตช้ากว่า ต้นทุนการเลี้ยงย่อมเพิ่มมากกว่า หรือหากใช้หลังคาที่ไม่มีใยหิน ก็ต้องเปลี่ยนหลังคาบ่อยมาก จากกรดและความชื้นที่เกิดขึ้นจากมูลสุกร ดังนั้น ราคาเนื้อหมูจะเพิ่มขึ้นอีกมาก หากเลิกใช้ไครโซไทล์
นายวิเชียร ผู้พัฒน์ ประธานที่ปรึกษา บริษัท ไทยกระเบื้องหลังคา จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีขนาดเล็ก และไม่มีองค์ความรู้ในการผลิตที่ใช้สารทดแทนใยหินที่มากพอ อีกทั้งการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาที่ไม่มีใยหิน มีการลงทุนสูง หากต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักรทั้งหมดเพื่อไปผลิตกระเบื้องที่ไม่มีใยหิน จำเป็นต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ล้านบาท และต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตนานถึง 3-4 ปี บริษัทคงต้องเลิกกิจการไปเลย