ปตท.จ่อออกหุ้นกู้ 3.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยจะออกหุ้นกู้ล็อตแรกกลางปี 2554 เพื่อใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน มั่นใจรายได้ปีนี้ดีกว่าปี54 หลังประเมินทุกกลุ่มธุรกิจมีทิศทางสดใส
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาทวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทโดยจะทยอยออกหุ้นกู้ในช่วงกลางปีนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ของบริษัทที่ครบกำหนดไถ่ถอน และบางส่วนคืนหนี้เงินกู้ ซึ่งปตท.มีภาระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทในช่วง 2ปีข้างหน้านี้
ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน ขณะเดียวกันก็จะจำหน่ายให้กับนักลงทุนที่สนใจด้วยภายใต้โครงการรอยัลตี โปรแกรม ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาความเหมาะสมของอายุหุ้นกู้และอัตราผลตอบแทนที่ให้กับผู้ลงทุน ส่วนงบการลงทุนของปตท. 5ปีนี้ จะใช้เงินประมาณ 3.3 แสนล้านบาทในปีนี้แหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนโครงการต่างๆจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
โดยรายได้ของปตท.ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันมีเสถียรภาพดีขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนธุรกิจการกลั่นพบว่าค่าการกลั่นดีขึ้นกว่าปีก่อนโดยขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปัจจุบัน สูงกว่าปี2553 ที่ค่าการกลั่นต่ำกว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีพบว่าความต้องการใช้ยังสูงต่อเนื่องจากเดิมที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่งผลให้กำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาไม่น่าจะเป็นห่วง เนื่องจากความต้องการใช้ยังสูงอยู่ ด้านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเริ่มมีความชัดเจนขึ้น หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียให้ปตท.สผ.เดินหน้าโครงการมอนทาราได้หลังจากก่อนหน้านี้เกิดกรณีการรั่วไหลของน้ำมัน ดังนั้นปริมาณการผลิตปิโตรเลียมของปตท.สผ.คงทำได้ตามเป้าหมาย
นายเทวินทร์ กล่าวต่อไปว่า การลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้ปตท.ยังอยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าในไตรมาส 1 นี้จะมีความชัดเจนและสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดย ปตท. ต้องการถือหุ้นอย่างน้อย 20-25% เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจหลักของปตท. โดยยอมรับว่าปตท.มีความสนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการลงทุนโครงการต่างๆในทวาย ประเทศพม่าซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเข้าไปลงทุนอะไรได้บ้าง
ส่วนความคืบหน้าในการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือปตท. 4 บริษัท ยืนยันว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/2554 ก็จะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/2554 และกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จในไตรมาส 3 /2554 บริษัทในกลุ่มปตท.ที่อยู่ระหว่างการศึกษาในการควบรวมกิจการ ประกอบด้วย บมจ.ปตท อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) , บมจ. ปตท เคมิคอล (PTTCH), บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์(TOP)
นายเทวินทร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเรียกร้องให้มีการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)เป็นเวลา 1-2ปีก่อนที่จะลอยตัวนั้น รัฐบาลคงต้องพิจารณาว่าจะยินยอมให้มีการลอยตัวLPG เต็มที่ใน 1-2ปีหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันรัฐมีภาระที่ต้องอุดหนุนดีเซลและLPGสำหรับครัวเรือนและภาคขนส่งค่อนข้างมาก ถ้าให้อุ้มLPGภาคอุตสาหกรรมอีกคงลำบาก
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาทวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทโดยจะทยอยออกหุ้นกู้ในช่วงกลางปีนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ของบริษัทที่ครบกำหนดไถ่ถอน และบางส่วนคืนหนี้เงินกู้ ซึ่งปตท.มีภาระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทในช่วง 2ปีข้างหน้านี้
ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน ขณะเดียวกันก็จะจำหน่ายให้กับนักลงทุนที่สนใจด้วยภายใต้โครงการรอยัลตี โปรแกรม ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาความเหมาะสมของอายุหุ้นกู้และอัตราผลตอบแทนที่ให้กับผู้ลงทุน ส่วนงบการลงทุนของปตท. 5ปีนี้ จะใช้เงินประมาณ 3.3 แสนล้านบาทในปีนี้แหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนโครงการต่างๆจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
โดยรายได้ของปตท.ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันมีเสถียรภาพดีขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนธุรกิจการกลั่นพบว่าค่าการกลั่นดีขึ้นกว่าปีก่อนโดยขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปัจจุบัน สูงกว่าปี2553 ที่ค่าการกลั่นต่ำกว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีพบว่าความต้องการใช้ยังสูงต่อเนื่องจากเดิมที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่งผลให้กำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาไม่น่าจะเป็นห่วง เนื่องจากความต้องการใช้ยังสูงอยู่ ด้านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเริ่มมีความชัดเจนขึ้น หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียให้ปตท.สผ.เดินหน้าโครงการมอนทาราได้หลังจากก่อนหน้านี้เกิดกรณีการรั่วไหลของน้ำมัน ดังนั้นปริมาณการผลิตปิโตรเลียมของปตท.สผ.คงทำได้ตามเป้าหมาย
นายเทวินทร์ กล่าวต่อไปว่า การลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้ปตท.ยังอยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าในไตรมาส 1 นี้จะมีความชัดเจนและสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดย ปตท. ต้องการถือหุ้นอย่างน้อย 20-25% เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจหลักของปตท. โดยยอมรับว่าปตท.มีความสนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการลงทุนโครงการต่างๆในทวาย ประเทศพม่าซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเข้าไปลงทุนอะไรได้บ้าง
ส่วนความคืบหน้าในการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือปตท. 4 บริษัท ยืนยันว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/2554 ก็จะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/2554 และกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จในไตรมาส 3 /2554 บริษัทในกลุ่มปตท.ที่อยู่ระหว่างการศึกษาในการควบรวมกิจการ ประกอบด้วย บมจ.ปตท อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) , บมจ. ปตท เคมิคอล (PTTCH), บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์(TOP)
นายเทวินทร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเรียกร้องให้มีการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)เป็นเวลา 1-2ปีก่อนที่จะลอยตัวนั้น รัฐบาลคงต้องพิจารณาว่าจะยินยอมให้มีการลอยตัวLPG เต็มที่ใน 1-2ปีหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันรัฐมีภาระที่ต้องอุดหนุนดีเซลและLPGสำหรับครัวเรือนและภาคขนส่งค่อนข้างมาก ถ้าให้อุ้มLPGภาคอุตสาหกรรมอีกคงลำบาก