บิ๊กธอส.คาดตลาดอสังหาฯปี 54 วูบเหตุปัจจัยลบดอกเบี้ย เงินเฟ้อ น้ำมันแพง แถมการเมืองไม่นิ่ง เผยตัวเลขยอดปล่อยสินเชื่อปี 53 ทะลุ 3.5 แสนล้านบาท เชื่อปี 54 ปล่อยไม่ถึง 3 แสนล้านบาทแน่ ขณะที่ปี 53 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฯ 1.78 แสนหน่วย ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 1.05 แสนหน่วย เล็งขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้หากกนง.ปรับขึ้นในเดือนมี.ค.
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2554 จะชะลอตัวประมาณ 5% จากปี 2553 เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อปรับขึ้นตาม มาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ราคาน้ำมัน ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น ความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ขณะที่ปัจจัยบวกมีเพียงภาพรวมของเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ความต้องการซื้อบ้านของผู้บริโภคมีอย่างต่อเนื่อง และหากภาวะการเมืองสงบก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมปี 54 ผู้ประกอบการจะยังคงเดินหน้าเปิดโครงการคอนโดมิเนียมอย่างต่อ แต่จำนวนหน่วยที่เปิดใหม่จะลดลงหรือเน้นพัฒนาโครงการขนาดเล็ก ทำให้จำนวนหน่วยคอนโดฯเปิดใหม่ปี 54 น้อยกว่าปี 53 โดยผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนาโครงการแนวราบประเภททาวน์เฮาส์แทน
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการคอนโดฯและแนวราบจะกระจายตัวออกไปสู่บริเวณกรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล เนื่องจากที่ดินพื้นที่ชั้นในมีราคาแพง อีกทั้งการลงทุนสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้เกิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ๆขึ้น
สำหรับความคืบหน้าระบบรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจนในเรื่องการก่อสร้างแล้ว เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง จะเปิดให้บริการเดือนสิงหาคมปีนี้ ส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ ประกวดราคาก่อสร้างงานโยธาปีนี้ และจะเปิดให้บริการปี 2558 ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีเขียว จากวงเวียนใหญ่-บางหว้า คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2555 รถไฟฟ้าสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ กำลังมีการก่อสร้างงานโยธา และจะเปิดให้บริการปี 2557 ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค กำลังรอลงนามสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมาปีนี้ และเปิดให้บริการปี 2559 รถไฟฟ้าสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา และช่วงบางซื่อ-รังสิต เริ่มขายแบบประกวดราคาแล้ว โดยคาดว่าทั้ง 2 ช่วงนี้จะเปิดให้บริการได้ในปี 2558
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ย ปี 2554 อยู่ในช่วงขาขึ้นนับจากปลายปี 53 เป็นต้นมา และหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 10 มีนาคม 54 ธอส.จำเป็นต้องประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีกประมาณ 50% ของเงินกู้ที่ปรับขึ้น เช่น หากทั้งปีกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 .0 % ธอส.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.50% โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ระดับ 2.25% คาดว่าถึงสิ้นปี 54 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ไม่ต่ำกว่า 3.00% ซึ่งจะกระทบทั้งต้นทุนการเงินของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ไปแล้ว ขณะที่ธอส.ปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ระดับเดิม เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าของธนาคาร ส่งผลให้สเปดของธนาคารอยู่ที่ระดับกว่า 2.3 ในขณะที่ต้นทุนเงินฝากของธนาคารอยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากพอร์ตเงินฝากส่วนใหญ่เป็นสถาบัน ไม่มีเงินฝากกระแสรายวันหรือวงเงินโอดี ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ธอส.จะพยายามระดมเงินฝากที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อในระดับต่ำได้ เพื่อลดภาระของผู้บริโภค
ด้านนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 53 มีอัตราการเติบโตดีมากในทุกประเภท เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปีจำนวน 178,000 หน่วย เพิ่มขึ้น 10% จากปี 52 คิดเป็นมูลค่า 392,200 ล้านบาท
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2554 จะชะลอตัวประมาณ 5% จากปี 2553 เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อปรับขึ้นตาม มาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ราคาน้ำมัน ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น ความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ขณะที่ปัจจัยบวกมีเพียงภาพรวมของเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ความต้องการซื้อบ้านของผู้บริโภคมีอย่างต่อเนื่อง และหากภาวะการเมืองสงบก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมปี 54 ผู้ประกอบการจะยังคงเดินหน้าเปิดโครงการคอนโดมิเนียมอย่างต่อ แต่จำนวนหน่วยที่เปิดใหม่จะลดลงหรือเน้นพัฒนาโครงการขนาดเล็ก ทำให้จำนวนหน่วยคอนโดฯเปิดใหม่ปี 54 น้อยกว่าปี 53 โดยผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนาโครงการแนวราบประเภททาวน์เฮาส์แทน
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการคอนโดฯและแนวราบจะกระจายตัวออกไปสู่บริเวณกรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล เนื่องจากที่ดินพื้นที่ชั้นในมีราคาแพง อีกทั้งการลงทุนสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้เกิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ๆขึ้น
สำหรับความคืบหน้าระบบรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจนในเรื่องการก่อสร้างแล้ว เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง จะเปิดให้บริการเดือนสิงหาคมปีนี้ ส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ ประกวดราคาก่อสร้างงานโยธาปีนี้ และจะเปิดให้บริการปี 2558 ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีเขียว จากวงเวียนใหญ่-บางหว้า คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2555 รถไฟฟ้าสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ กำลังมีการก่อสร้างงานโยธา และจะเปิดให้บริการปี 2557 ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค กำลังรอลงนามสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมาปีนี้ และเปิดให้บริการปี 2559 รถไฟฟ้าสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา และช่วงบางซื่อ-รังสิต เริ่มขายแบบประกวดราคาแล้ว โดยคาดว่าทั้ง 2 ช่วงนี้จะเปิดให้บริการได้ในปี 2558
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ย ปี 2554 อยู่ในช่วงขาขึ้นนับจากปลายปี 53 เป็นต้นมา และหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 10 มีนาคม 54 ธอส.จำเป็นต้องประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีกประมาณ 50% ของเงินกู้ที่ปรับขึ้น เช่น หากทั้งปีกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 .0 % ธอส.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.50% โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ระดับ 2.25% คาดว่าถึงสิ้นปี 54 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ไม่ต่ำกว่า 3.00% ซึ่งจะกระทบทั้งต้นทุนการเงินของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ไปแล้ว ขณะที่ธอส.ปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ระดับเดิม เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าของธนาคาร ส่งผลให้สเปดของธนาคารอยู่ที่ระดับกว่า 2.3 ในขณะที่ต้นทุนเงินฝากของธนาคารอยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากพอร์ตเงินฝากส่วนใหญ่เป็นสถาบัน ไม่มีเงินฝากกระแสรายวันหรือวงเงินโอดี ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ธอส.จะพยายามระดมเงินฝากที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อในระดับต่ำได้ เพื่อลดภาระของผู้บริโภค
ด้านนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 53 มีอัตราการเติบโตดีมากในทุกประเภท เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปีจำนวน 178,000 หน่วย เพิ่มขึ้น 10% จากปี 52 คิดเป็นมูลค่า 392,200 ล้านบาท
