แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เปิดแผนปี 54 เปิด 18 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 4.1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายโต 25% ขณะที่ปี 53 ยอดขาย 20,000 ล้าน เล็งออกหุ้นกู้ ตั้งพร้อพเพอร์ตี้ฟันด์ระดมเม็ดเงินรับแผนลงทุนปี 54 กว่า 8,000 ล้านบาท ซื้อที่ดิน-เพิ่มทุนใน LH Bank
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เอ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีแลนด์ฯจะพัฒนาโครงการใหม่รวม 18 โครงการ อยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล 16 โครงการและต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่ารวม 41,820 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอขายซึ่งเปิดตัวในช่วงก่อนหน้ารวม 38,000 ล้านบาท ส่งผลให้ในปีนี้มีสินค้ารอขายรวม 80,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสต๊อกที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างสร้าง 2,500 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 25,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 25% โดยในปี 53 มียอดขายรวม 20,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 52 ประมาณ 19.5% สำหรับสัดส่วนรายได้ของปีนี้จะมาจากบ้านเดี่ยว 67% ทาวน์เฮ้าส์ 7% คอนโดมิเนียม 26% จากสัดส่วนปีที่แล้วอยู่ที่บ้านเดี่ยว 64% ทาวน์เฮ้าส์ 8% และคอนโดฯ 28% หากแบ่งตามระดับราคาจะมาจากที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 3 ล้านบาทถึง 15% ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
นายนพร กล่าวต่อว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกระทบ คือ อัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีจะปรับขึ้นประมาณ 0.75% ซึ่งจะกระทบต้นทุนผู้ประกอบการ และอำนาจของผู้ซื้อ ส่วนปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อก็มีทิศทางเร่งตัวขึ้น และราคาน้ำมันคาดว่าจะมีราคาเฉลี่ยที่ 90-95 ดอลลาร์/บาร์เรล อีกทั้งการที่ต้นทุนเพิ่ม ส่งผลให้วัสดุและค่าแรงงานปรับขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษทจะมีการทบทวนปัจจัยด้านต้นทุนต่าง ๆ ว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายบ้านหรือไม่ โดยหากปรับขึ้นก็คงจะปรับในช่วง 3-5% ซึ่งจะต้องพิจารณาดีมานและซัพพลายประกอบไปด้วย โดยจะพิจารณาเป็น Segment แต่ขณะนี้ต้นทุนของบริษัทยังอยู่ระดับที่พอรับได้ โดยในปี 54 บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น 32.5% ขณะที่คาดว่ารายได้จะโต 30% สูงสุดในรอบ 5 ปีนับจากปี 50 ขณะที่ปี 53 คาดว่ากำไรจะสูงกว่าปี 52 เนื่องจากมีกำไรจากบริษัทลูกเข้าค่อนข้างมาก
**ทุ่มงบลงทุน 8,000ล.**
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่รวม 6,000 ล้านบาท ,เพิ่มทุนในธนาคาร แลนด์ แอนด์ เอ้าส์ เพื่อรายย่อย จำนวน 1,800 ล้านบาท และลงทุนเพิ่มในบริษัท แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อีก 229 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีหนี้เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.7/1
“ในส่วนของแอล เอชแบงก์นั้นหลังเพิ่มทุนแล้วจะทำให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นแบงก์พาณิชย์เต็มรูปแบบ และบริษัทมีแผนจะนำบริษัท แอลเอชไฟแนเชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ LH Bank เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในไตรมาส 2/54 โดย LH ถือหุ้น 40% ช่วงกลางปี 54 นี้”
ทั้งนี้การที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากดังกล่าว ทำให้ในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้อย่างน้อย 4,000 ล้านบาท โดยชุดแรกจำนวน 2,500 ล้านบาท ได้นำออกขายแล้วตั้งแต่ 20 ม.ค.54 อัตราดอกเบี้ย 3.54% และชุดถัดไปคาดว่าจะออกขายในช่วงไตรมาส 3/54 ทั้งนี้ ใน 53 บริษัทมีการออกหุ้นกู้ทั้งหมด 3 ชุด วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังสนใจที่จะตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ อีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะนำอาคารใดเข้ากองทุน อีกทั้งต้องพิตจารณาถึงขนาดของวงเงินด้วยว่ามีความต้องการใช้เท่าใด โดยปัจจุบันมีอาคารให้เช่าในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่สามารถนำมาจัดตั้งกองทุนได้ 6 อาคารมูลค่ารวมประมาณ 12,600 ล้านบาท
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เอ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีแลนด์ฯจะพัฒนาโครงการใหม่รวม 18 โครงการ อยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล 16 โครงการและต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่ารวม 41,820 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอขายซึ่งเปิดตัวในช่วงก่อนหน้ารวม 38,000 ล้านบาท ส่งผลให้ในปีนี้มีสินค้ารอขายรวม 80,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสต๊อกที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างสร้าง 2,500 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 25,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 25% โดยในปี 53 มียอดขายรวม 20,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 52 ประมาณ 19.5% สำหรับสัดส่วนรายได้ของปีนี้จะมาจากบ้านเดี่ยว 67% ทาวน์เฮ้าส์ 7% คอนโดมิเนียม 26% จากสัดส่วนปีที่แล้วอยู่ที่บ้านเดี่ยว 64% ทาวน์เฮ้าส์ 8% และคอนโดฯ 28% หากแบ่งตามระดับราคาจะมาจากที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 3 ล้านบาทถึง 15% ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
นายนพร กล่าวต่อว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกระทบ คือ อัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีจะปรับขึ้นประมาณ 0.75% ซึ่งจะกระทบต้นทุนผู้ประกอบการ และอำนาจของผู้ซื้อ ส่วนปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อก็มีทิศทางเร่งตัวขึ้น และราคาน้ำมันคาดว่าจะมีราคาเฉลี่ยที่ 90-95 ดอลลาร์/บาร์เรล อีกทั้งการที่ต้นทุนเพิ่ม ส่งผลให้วัสดุและค่าแรงงานปรับขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษทจะมีการทบทวนปัจจัยด้านต้นทุนต่าง ๆ ว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายบ้านหรือไม่ โดยหากปรับขึ้นก็คงจะปรับในช่วง 3-5% ซึ่งจะต้องพิจารณาดีมานและซัพพลายประกอบไปด้วย โดยจะพิจารณาเป็น Segment แต่ขณะนี้ต้นทุนของบริษัทยังอยู่ระดับที่พอรับได้ โดยในปี 54 บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น 32.5% ขณะที่คาดว่ารายได้จะโต 30% สูงสุดในรอบ 5 ปีนับจากปี 50 ขณะที่ปี 53 คาดว่ากำไรจะสูงกว่าปี 52 เนื่องจากมีกำไรจากบริษัทลูกเข้าค่อนข้างมาก
**ทุ่มงบลงทุน 8,000ล.**
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่รวม 6,000 ล้านบาท ,เพิ่มทุนในธนาคาร แลนด์ แอนด์ เอ้าส์ เพื่อรายย่อย จำนวน 1,800 ล้านบาท และลงทุนเพิ่มในบริษัท แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อีก 229 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีหนี้เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.7/1
“ในส่วนของแอล เอชแบงก์นั้นหลังเพิ่มทุนแล้วจะทำให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นแบงก์พาณิชย์เต็มรูปแบบ และบริษัทมีแผนจะนำบริษัท แอลเอชไฟแนเชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ LH Bank เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในไตรมาส 2/54 โดย LH ถือหุ้น 40% ช่วงกลางปี 54 นี้”
ทั้งนี้การที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากดังกล่าว ทำให้ในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้อย่างน้อย 4,000 ล้านบาท โดยชุดแรกจำนวน 2,500 ล้านบาท ได้นำออกขายแล้วตั้งแต่ 20 ม.ค.54 อัตราดอกเบี้ย 3.54% และชุดถัดไปคาดว่าจะออกขายในช่วงไตรมาส 3/54 ทั้งนี้ ใน 53 บริษัทมีการออกหุ้นกู้ทั้งหมด 3 ชุด วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังสนใจที่จะตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ อีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะนำอาคารใดเข้ากองทุน อีกทั้งต้องพิตจารณาถึงขนาดของวงเงินด้วยว่ามีความต้องการใช้เท่าใด โดยปัจจุบันมีอาคารให้เช่าในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่สามารถนำมาจัดตั้งกองทุนได้ 6 อาคารมูลค่ารวมประมาณ 12,600 ล้านบาท
