xs
xsm
sm
md
lg

ต่างชาติทิ้งหุ้นไทย ตลท.เชื่อแค่ปรับพอร์ตหวังกำไร บจ.ดูดกลับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ ประเมินกรณีต่างชาติทิ้งหุ้นไทย เชื่อเป็นการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ราคาถูกกว่า หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แย้ม หากผลประกอบการ บจ.ออกมาดีเชื่อเม็ดเงินจะไหลกลับเข้าลงทุน “วิรไทย” เผย ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีก่อนปรับตัวเพิ่มหนุน บจ.มีบุ๊กแวลู ต่ำกว่า 1 เท่า ลดลง 50% และ บจ.อีก 390 แห่ง ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีที่นักลงทุนต่างประเทศ ที่มีการขายหุ้นไทยในช่วงต้นเดือนมกราคมนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวมองว่าเป็นการปรับพอร์ตการลงทุน เนื่องจากในปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูง ทำให้ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก จึงมีการขายหุ้นไทยออกไป เพื่อไปลงทุนในประเทศที่ P/E ต่ำกว่า ซึ่งยังมีหลายประเทศ ประกอบกับยังมีปัจจัยทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอน

ทั้งนี้ หากผลประกอบการของ บจ.ไทยปี 2553 ออกมาดีนั้น ก็จะเป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุน โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่า จะมีความผันผวนที่สูง จากการที่เม็ดเงินทุนไหลเข้าและออก ซึ่งจากการที่เศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนากับประเทศที่พัฒนานั้นมีความแตกต่างกันนั้น และการที่สหรัฐฯมีการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออก ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และเกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ได้ เห็นได้จากทางการของประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออก ออกมาตรการควบคุมเงินเฟ้อ และฟองสบู่ ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการติดตามในเรื่องดังกล่าวประกอบการตัดสินใจในการลงทุน

สำหรับการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.60% ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย รองจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมทุกกลุ่มนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2553 โดยกลุ่มที่มีการปรับตัวมากขึ้นสุด คือ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 142% กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น 70% และกลุ่มบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 49% ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยสุด 18.31%

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) พบว่า หุ้นในกลุ่ม SET 51-100 ซึ่งเป็นหุ้นขนาดกลางนั้นนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนสูงสุด เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ (SET 50)และหุ้นขนาดเล็ก non -SET 100และ mai

โดยการซื้อายกลุ่ม SET 51-100 ในปี 2553 มีจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 111% จากปี 2552 ขณะที่กลุ่ม SET 50 เพิ่มขึ้นเพียง 46% และหุ้น non-SET100 เพิ่มขึ้น 109% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่ม SET 50-100 ใน ช่วง 9 เดือนเติบโตสูงถึง 98% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่วน บริษัทจดทะเบียนที่มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมีจำนวน 390 บริษัท คิดเป็น 76% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด โดยหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET 51-SET 100 ให้ผลตอบแทนส่วนต่างราคาหุ้น (แคปปิตอลเกน) เฉลี่ย 78% ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นเป็นปีที่ 2 และบริษัทที่มีราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ในปี มีจำนวนลดลงเหลือ 189 บริษัท จาก ณ สิ้นปี 2552 ที่มีจำนวน 258 บริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น