แอล.พี.เอ็น.ฯเปิดเกมรุกตลาดแนวราบส่ง”พรสันติ” ลุยตลาดทาวน์เฮาส์รับ3-5 ล้านบาท ผุด 5 โครงการมูลค่า2,000 ล้านบาทวางเป้ารับรู้รายได้ปีแรก 1,000 ล้านบาท ด้านแอล.พี.เอ็น.ฯบุกตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกผุดคอนโดฯในเมองพัทยา2 โครงการ จากเปิดพัฒนาโครงการใหม่ทั้งปีรวม 10โครงการมูลค่ากว่า 16,000ล้านบาท พร้อมตั้งรับรู้รายได้ทั้งปี12,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่าทิศทางการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัทในปีนี้จะต่างออกไปจาดในช่วงก่อนหน้า โดยในปี2554 จะเป็นครั้งแรกที่ แอล.พี.เอ็น.ฯจะปรับแบบห้องชุดโครงการให้มีขนาดเล็กลงโดยการปรับลดขนาดห้องชุดให้มีพื้นที่ขนาด 22 ตารางเมตร ซึ่งกำหนดราคาข่ายเริ่มต้นที่ 699,000บาท จากเดิมที่ก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาห้องชุดขนาด 26 ตารางเมตรออกมาเป็นรายแลก
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดตลาดคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด เป็นครั้งแรกแรในเมืองท่องเที่ยวย่านชายทะเล ขณะเดียวกันยังมีแผนจะรุกตลาดทาวน์เฮาส์เป็นครั้งแรก เช่นกัน โดยจะใช้บริษัท พรสันติ จำกัด บริษัทลูกเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้
โดยในส่วนของ แอล.พี.เอ็น.ฯนั้นจะมีกาพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้รวม 10โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้จะพัฒนาในแบรด์คอนโดทาวน์วเป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการในพื้นที่กทม. 8 โครงการ ในพัทยา 2 โครงการ
“โดยบริษัทเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินของบริษัท พรสันติ จำกัด 500 ล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาทาวน์เฮาส์โครงการ 5 มูลค่า 2,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรกย่านถนนราษฎร์บูรณะ ราคาเริ่มต้น 3-5 ต่อยูนิต และเหลืออีก 2,000 ล้านบาท จะเป็นงซื้อที่ดินของ แอลพีเอ็น ฯ โดยจะพัฒนาคอนโดมิเนียม 10 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นต่างจังหวัด 2 โครงการ ในพื้นที่พัทยา จำนวนพื้นที่ 4 ไร่ มูลค่าโครงการ500-1,000 ล้านบาท ล่าสุดได้มีการตัดสินใจใช้แบรนด์ ลุมพินี เพลส 1 โครงการและในขณะที่อีก1 โครงการอยู่ในช่วงตัดสินใจระหว่างแบรนด์ ลุมพินี วิว และ ลุมพินี ทาวน์”
ส่วนโครงการคอนโด ขนาด 22 ตรม.ราคาขายเริ่มต้น 699,000ล้านบาท จะนำร่องโครงการแรก ในย่านลาซาน-แบริ่ง ซึ่งมีที่ดินรอการพัฒนาแล้ว 10 ไร่ โดยจะมีการปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือน ก.พ.นี้
ขณะเดียวกันบริษัทได้วางแผนขยายโครงการไปในรูปแบบอาคารสำนักงาน และบ้านเดี่ยวในอนาคต ซึ่งเป็นการกระจายการเติบโตของบริษัทในอนาคต และการที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการขยายสินค้าไปสู่กลุ่ม Non condo และขยายไปสู่กลุ่มต่างจังหวัดอย่างจริงจัง เนืองจากกลุ่มคนต่างจังหวัดรู้จักแบรนด์ ลุมพินี เพื่อเป็นการขับเคลื่อนยอดขายบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายโอภาส กล่าวว่า ทั้งนี้การลงทุนในตลาดต่างจังหวัดและการปรับยูนิตให้มีขนาดเล็กลงนั้น เป็นการปรับรูปแบบการตลาดใหม่ ให้ว้างมากขึ้น เพื่อช่วยผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโตขึ้น 20% หรือรับรู้รายได้ที่ 12,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 16,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทพรสันติตั้งเป้าว่าจะมียอดขายของบริษัทพรสันติ ประมาณ 1,000 ล้านบาท
สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 15,000 ล้านบาท และมีรายได้รับู้เกือบ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรอโอน(แบล็กล็อค)มีอยู่ที่14,415 ล้านบาท ซึ่งจะรอรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 11,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในปี 2555 อีก 2,900 ล้านบาท และรอรับมาจากโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้อีกจำนวน 4,500 ล้านบาท รวมเป็นยอดรับรู้ในปี2555 ประมาณ 7,400 ล้านบาท
“อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการสร้างความเติบโต ที่ต่อเนื่อง บริษัทยังคงให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมทางด้านกระบวนการเพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้บริษัทพร้อมรับมือกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และการเพิ่มความเข้มข้นในกลยุทธ์ Blue Ocean เพื่อสร้าง ความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ จากแนวความคิดในการนำกลยุทธ์ Blue Ocean
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่าทิศทางการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัทในปีนี้จะต่างออกไปจาดในช่วงก่อนหน้า โดยในปี2554 จะเป็นครั้งแรกที่ แอล.พี.เอ็น.ฯจะปรับแบบห้องชุดโครงการให้มีขนาดเล็กลงโดยการปรับลดขนาดห้องชุดให้มีพื้นที่ขนาด 22 ตารางเมตร ซึ่งกำหนดราคาข่ายเริ่มต้นที่ 699,000บาท จากเดิมที่ก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาห้องชุดขนาด 26 ตารางเมตรออกมาเป็นรายแลก
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดตลาดคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด เป็นครั้งแรกแรในเมืองท่องเที่ยวย่านชายทะเล ขณะเดียวกันยังมีแผนจะรุกตลาดทาวน์เฮาส์เป็นครั้งแรก เช่นกัน โดยจะใช้บริษัท พรสันติ จำกัด บริษัทลูกเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้
โดยในส่วนของ แอล.พี.เอ็น.ฯนั้นจะมีกาพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้รวม 10โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้จะพัฒนาในแบรด์คอนโดทาวน์วเป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการในพื้นที่กทม. 8 โครงการ ในพัทยา 2 โครงการ
“โดยบริษัทเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินของบริษัท พรสันติ จำกัด 500 ล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาทาวน์เฮาส์โครงการ 5 มูลค่า 2,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรกย่านถนนราษฎร์บูรณะ ราคาเริ่มต้น 3-5 ต่อยูนิต และเหลืออีก 2,000 ล้านบาท จะเป็นงซื้อที่ดินของ แอลพีเอ็น ฯ โดยจะพัฒนาคอนโดมิเนียม 10 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นต่างจังหวัด 2 โครงการ ในพื้นที่พัทยา จำนวนพื้นที่ 4 ไร่ มูลค่าโครงการ500-1,000 ล้านบาท ล่าสุดได้มีการตัดสินใจใช้แบรนด์ ลุมพินี เพลส 1 โครงการและในขณะที่อีก1 โครงการอยู่ในช่วงตัดสินใจระหว่างแบรนด์ ลุมพินี วิว และ ลุมพินี ทาวน์”
ส่วนโครงการคอนโด ขนาด 22 ตรม.ราคาขายเริ่มต้น 699,000ล้านบาท จะนำร่องโครงการแรก ในย่านลาซาน-แบริ่ง ซึ่งมีที่ดินรอการพัฒนาแล้ว 10 ไร่ โดยจะมีการปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือน ก.พ.นี้
ขณะเดียวกันบริษัทได้วางแผนขยายโครงการไปในรูปแบบอาคารสำนักงาน และบ้านเดี่ยวในอนาคต ซึ่งเป็นการกระจายการเติบโตของบริษัทในอนาคต และการที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการขยายสินค้าไปสู่กลุ่ม Non condo และขยายไปสู่กลุ่มต่างจังหวัดอย่างจริงจัง เนืองจากกลุ่มคนต่างจังหวัดรู้จักแบรนด์ ลุมพินี เพื่อเป็นการขับเคลื่อนยอดขายบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายโอภาส กล่าวว่า ทั้งนี้การลงทุนในตลาดต่างจังหวัดและการปรับยูนิตให้มีขนาดเล็กลงนั้น เป็นการปรับรูปแบบการตลาดใหม่ ให้ว้างมากขึ้น เพื่อช่วยผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโตขึ้น 20% หรือรับรู้รายได้ที่ 12,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 16,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทพรสันติตั้งเป้าว่าจะมียอดขายของบริษัทพรสันติ ประมาณ 1,000 ล้านบาท
สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 15,000 ล้านบาท และมีรายได้รับู้เกือบ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรอโอน(แบล็กล็อค)มีอยู่ที่14,415 ล้านบาท ซึ่งจะรอรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 11,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในปี 2555 อีก 2,900 ล้านบาท และรอรับมาจากโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้อีกจำนวน 4,500 ล้านบาท รวมเป็นยอดรับรู้ในปี2555 ประมาณ 7,400 ล้านบาท
“อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการสร้างความเติบโต ที่ต่อเนื่อง บริษัทยังคงให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมทางด้านกระบวนการเพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้บริษัทพร้อมรับมือกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และการเพิ่มความเข้มข้นในกลยุทธ์ Blue Ocean เพื่อสร้าง ความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ จากแนวความคิดในการนำกลยุทธ์ Blue Ocean