ไออาร์พีซีตั้งเป้าเดินโรงกลั่นน้ำมันเต็มกำลังผลิต 2.15 แสนบาร์เรล/วันในปี 2558 หลังจากลงทุนโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด เผยตั้งงบลงทุน 5ปี ใช้เงิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลุยโปรเจ็กต์ฟินิกซ์และโรงไฟฟ้าเอสพีพี เตรียมเสนอบอร์ดเม.ย.อนุมัติโครงการปิโตรเคมีขั้นปลาย มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกเทคโนโลยีและพาร์ทเนอร์ แย้มปีนี้มีแผนก่อหนี้เพิ่ม 6 พันล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนใหม่
นายอธิคม เติบศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายแผนธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯให้เต็มกำลังผลิตที่ 2.15 แสนบาร์เรล/วันภายในปี 2558 จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการกลั่นอยู่ที่ 70-80%ของกำลังผลิต เนื่องจากบริษัทฯได้ตัดสินใจลงทุนโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด ทำให้สามารถนำน้ำมันหนักที่ราคาต่ำจากกระบวนการกลั่นมาต่อยอดผลิตสินค้าเพื่อสุขอนามัย
สำหรับงบการลงทุน 5ปีนี้ (2554-2558) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนภายใต้โครงการฟินิกซ์ 19 โครงการคิดเป็นมูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลืออีก 700 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี 3 โครงการที่ได้ยื่นเสนอขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการรับซื้อรอบใหม่อีก1,500เมกะวัตต์ คาดว่าจะทราบผลได้ในปลายเดือนม.ค.นี้
ทั้งนี้โครงการลงทุนภายใต้ฟินิกซ์ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในปีที่แล้วคิดเป็นเงินลงทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงเหลือโครงการลงทุนปิโตรเคมีขั้นปลายที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (SAP)คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีและพันธมิตรร่วมทุน คาดว่าจะเสนอต่อบอร์ดบริษัทฯอนุมัติภายในเดือนเม.ย. 54
ทั้งนี้ โครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด โดยจะนำผลิตภัณฑ์ราคาต่ำจากโรงกลั่น (รองเรซิดิว)มาเพิ่มมูลค่าให้ได้เป็นโพรพิลีนเพื่อต่อยอดในปิโตรเคมีขั้นปลายต่อไป โครงการนี้ใช้เงินลงทุน 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้นอีก 2.6 แสนตัน/ปี
"ใน4ปีนี้บริษัทฯจะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น แต่จะเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น โดยในปี 2555 จะเห็นชัดเจนขึ้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษจะขยับเป็น 40%ของยอดขายในปี 2547 จากปัจจุบันอยู่ที่ 20%ของยอดขาย"
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนตลอด 5ปีนี้จะมาจากการกู้หรือออกตราสารหนี้วงเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท โดบปีนี้มีความจำเป็นต้องการใช้เงินนอกเหนือจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 6 พันล้านบาท และปีถัดไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน คาดว่าได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมัน 80%ของกำลังการกลั่นอยู่ที่ 1.7 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับการผลิตที่เหมาะสม ขณะที่โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงขนาด 200 เมกะวัตต์จะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงเดือนละ 150 ล้านบาทซึ่งชดเชยรายได้จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและปิโตรเคมีทั้งคอมเพล็กซ์ของบริษัทในเดือนพ.ย.นี้ คาดว่าจะปิดซ่อมบำรุงไม่เกิน 30 วัน ทำให้ผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรใกล้เคียงปีก่อน ส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นจากปี 53หากราคาน้ำมันขยับขึ้นไปแตะ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลทำให้ราคาปิโตรเคมีขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยประเมินว่าวัฎจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะพ้นจุดต่ำสุดของราคาในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทฯจะรีวิวโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาด 50 เมกะวัตต์ที่จะนะ จังหวัดสงขลา หลังจากกฟผ.ส่งเสริมผู้ลงทุนโดยให้ส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า(ADDER )ที่ 8 บาท/หน่วยในภาคใต้ จากเดิมที่ปรับลดลงมาเหลือ 6.50 บาท/หน่วย โดยจะหารือกับกลุ่มปตท.ที่สนใจลงทุนโครงการดังกล่าวเพื่อร่วมลงทุน เนื่องจากไออาร์พีซีมีพื้นที่จำนวนมากในภาคใต้
เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อวิจัยและพัฒนาโครงการและผลิตภัณฑ์ของIRPC ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือนี้เบื้องต้นจะต่อยอด 5 ผลิตภัณฑ์ คือ โครงการGreen ABS โครงการEPSเพื่อใช้ในการก่อสร้าง โครงการผลิตเม็ดพลาสติกผสมขี้เลื่อย (WPC) โครงการนำน้ำมันพืชมาทดแทนน้ำมัน และโครงการAcetylene Black
นายอธิคม เติบศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายแผนธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯให้เต็มกำลังผลิตที่ 2.15 แสนบาร์เรล/วันภายในปี 2558 จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการกลั่นอยู่ที่ 70-80%ของกำลังผลิต เนื่องจากบริษัทฯได้ตัดสินใจลงทุนโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด ทำให้สามารถนำน้ำมันหนักที่ราคาต่ำจากกระบวนการกลั่นมาต่อยอดผลิตสินค้าเพื่อสุขอนามัย
สำหรับงบการลงทุน 5ปีนี้ (2554-2558) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนภายใต้โครงการฟินิกซ์ 19 โครงการคิดเป็นมูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลืออีก 700 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี 3 โครงการที่ได้ยื่นเสนอขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการรับซื้อรอบใหม่อีก1,500เมกะวัตต์ คาดว่าจะทราบผลได้ในปลายเดือนม.ค.นี้
ทั้งนี้โครงการลงทุนภายใต้ฟินิกซ์ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในปีที่แล้วคิดเป็นเงินลงทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงเหลือโครงการลงทุนปิโตรเคมีขั้นปลายที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (SAP)คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีและพันธมิตรร่วมทุน คาดว่าจะเสนอต่อบอร์ดบริษัทฯอนุมัติภายในเดือนเม.ย. 54
ทั้งนี้ โครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด โดยจะนำผลิตภัณฑ์ราคาต่ำจากโรงกลั่น (รองเรซิดิว)มาเพิ่มมูลค่าให้ได้เป็นโพรพิลีนเพื่อต่อยอดในปิโตรเคมีขั้นปลายต่อไป โครงการนี้ใช้เงินลงทุน 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้นอีก 2.6 แสนตัน/ปี
"ใน4ปีนี้บริษัทฯจะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น แต่จะเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น โดยในปี 2555 จะเห็นชัดเจนขึ้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษจะขยับเป็น 40%ของยอดขายในปี 2547 จากปัจจุบันอยู่ที่ 20%ของยอดขาย"
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนตลอด 5ปีนี้จะมาจากการกู้หรือออกตราสารหนี้วงเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท โดบปีนี้มีความจำเป็นต้องการใช้เงินนอกเหนือจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 6 พันล้านบาท และปีถัดไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน คาดว่าได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมัน 80%ของกำลังการกลั่นอยู่ที่ 1.7 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับการผลิตที่เหมาะสม ขณะที่โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงขนาด 200 เมกะวัตต์จะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงเดือนละ 150 ล้านบาทซึ่งชดเชยรายได้จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและปิโตรเคมีทั้งคอมเพล็กซ์ของบริษัทในเดือนพ.ย.นี้ คาดว่าจะปิดซ่อมบำรุงไม่เกิน 30 วัน ทำให้ผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรใกล้เคียงปีก่อน ส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นจากปี 53หากราคาน้ำมันขยับขึ้นไปแตะ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลทำให้ราคาปิโตรเคมีขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยประเมินว่าวัฎจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะพ้นจุดต่ำสุดของราคาในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทฯจะรีวิวโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาด 50 เมกะวัตต์ที่จะนะ จังหวัดสงขลา หลังจากกฟผ.ส่งเสริมผู้ลงทุนโดยให้ส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า(ADDER )ที่ 8 บาท/หน่วยในภาคใต้ จากเดิมที่ปรับลดลงมาเหลือ 6.50 บาท/หน่วย โดยจะหารือกับกลุ่มปตท.ที่สนใจลงทุนโครงการดังกล่าวเพื่อร่วมลงทุน เนื่องจากไออาร์พีซีมีพื้นที่จำนวนมากในภาคใต้
เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อวิจัยและพัฒนาโครงการและผลิตภัณฑ์ของIRPC ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือนี้เบื้องต้นจะต่อยอด 5 ผลิตภัณฑ์ คือ โครงการGreen ABS โครงการEPSเพื่อใช้ในการก่อสร้าง โครงการผลิตเม็ดพลาสติกผสมขี้เลื่อย (WPC) โครงการนำน้ำมันพืชมาทดแทนน้ำมัน และโครงการAcetylene Black
