“บางจาก” อัดฉีดงบ 7,000 ล้าน ลงทุนธุรกิจค้าน้ำมันปลึกปีนี้ พร้อมเร่งปรับปรุงปั๊ม 70 แห่ง เปิดเพิ่มอีก 20 แห่ง พร้อมมีแผนลงทุนพลังงานทดแทนซื้อโรงงานผลิตเอทานอลขนาด 2 แสนลิตร เปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานแสงอาทิตย์ เฟส 2 ขนาด 32 เมกะวัตต์ ช่วงไตรมาสแรก
วันนี้ (6 ม.ค.) ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้ ว่า จากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผู้ค้าน้ำมันแต่ละรายต้องเร่งปรับตัวโดยเฉพาะการทุ่มงบสำหรับการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันให้มีรูปแบบทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์และความทันสมัยให้กับองค์กร ซึ่งในส่วนของ บมจ.บางจาก เอง ก็ได้ทุ่มงบสำหรับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในปีนี้ไว้ประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันจำนวน 70 แห่ง ซึ่งจะใช้งบประมาณแห่งละ 3-5 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 120 แห่ง จากปั๊มที่มีอยู่ 507 แห่ง และจะสร้างปั๊มขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานครขึ้นอีก 2 แห่ง ใช้เงินลงทุนแห่งละ 50 ล้านบาท ซึ่งจะมีร้านค้าและร้านสะดวกซื้อที่ครบวงจรมากขึ้น
นอกจากนี้ จะมีการขยายปั๊มสหกรณ์เพิ่มมากขึ้นอีก 20 แห่ง จากที่มีอยู่ 553 แห่ง แต่จะเป็นการลงทุนของสหกรณ์เอง เนื่องจากทางสหกรณ์มีความเข้มแข็งที่จะลงทุนเองได้ โดย บมจ.บางจาก สนับสนุนป้ายของ บมจ.บางจาก ให้เท่านั้น ขณะที่งบการส่งเสริมการขาย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ประมาณ 50-60 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์และคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบมจ.บางจากให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ส่วนการขยายปั๊มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 จะเพิ่มขึ้น 100 แห่ง จากที่ปัจจุบันมีอยู่ 300 แห่ง เพื่อเป็นการรองรับรถยนต์ใหม่ๆ ที่เวลานี้มีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากปริมาณการใช้ อี20 เพิ่มขึ้นทุกเดือนในปีก่อน โดยในเดือนธันวาคม 2553 อยู่ที่ประมาณ 430,000 ลิตรต่อวัน อีกทั้งในปีนี้จะมีการขยายปั๊มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 เพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง ตามต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีอยู่เพียง 5 แห่ง
สำหรับการเตรียมความพร้อมในการรองรับน้ำมันดีเซล บี5 เกรดเดียว จากเดิมที่กระทรวงพลังงานจะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 แต่ได้มีการเลื่อนออกไป เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนด้านวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล หรือ บี100 ซึ่งในส่วนนี้อยากจะเร่งให้ทางกระทรวงพลังงานรีบดำเนินการโดยเร็ว เพื่อที่จะไม่ต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคา ให้ราคาดีเซล บี5 แตกต่างจากดีเซล บี3 ที่สำคัญจะเป็นการช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันมีหัวจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น ที่จะนำมาใช้จำหน่ายน้ำมันชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ อี20
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มีการเกรงกันว่าปริมาณเอทานอลจะเกิดการขาดแคลนประมาณกลางปีนี้นั้น เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นกากน้ำตาลและมันสำปะหลังไม่เพียงพอ ในส่วนนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหากับ บมจ.บางจาก เพราะปกติจะมีการสต๊อกเอทานอลไว้อยู่แล้วประมาณ 6 ล้านลิตร สามารถใช้ได้กว่า 1 เดือน ที่สำคัญ บมจ.บางจาก มีความเชื่อมั่นว่า โรงงานผู้ผลิตสามารถผลิตเอทานอลป้อนให้กับ บมจ.บางจาก ได้อย่างเพียงพอ ดังนั้น จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลนแต่อย่างไรก็ตาม ราคาเอทานอลในปีนี้ อาจจะสูงเพิ่มขึ้นบ้างจากราคาวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากงบลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแล้ว ในปีนี้ บมจ.บางจาก จะใช้เงินสำหรับการลงทุนด้านพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น โดยจะใช้เงินสำหรับในการซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นในโรงงานผลิตเอทานอลขนาดกำลังการผลิต 200,000-300,000 ลิตรต่อวัน เพื่อเป็นการเสริมความมั่นคงด้านเอทานอลให้กับ บมจ.บางจาก จากปัจจุบันที่จัดซื้อในตลาดอยู่ 200,000 ลิตรต่อวัน โดยจะใช้เงินส่วนนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดอยู่ 1-2 ราย จากเดิมที่คาดว่าจะได้ข้อยุติเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเจรจาน่าจะจบลงได้ไม่เกินไตรมาสแรกปีนี้
ส่วนปัญหาที่มองว่าผู้ประกอบการโรงงานผลิตเอทานอล ถูกผู้ค้าน้ำมันกดราคา ต้องขอชี้แจงว่า การซื้อราคาเอทานอล จะเป็นในลักษณะการเปิดประมูลหากรายใดให้ราคาที่ต่ำสุดก็จะซื้อจากรายนั้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกของการประมูลซื้อสินค้าอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ บมจ.บางจากต้องใช้เอทานอลในปริมาณที่มาก และเพื่อให้เกิดความมั่นคงในการใช้เอทานอล จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องไปซื้อหุ้นหรือซื้อโรงงานผลิตเอทานอลเป็นของตัวเอง
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ทาง บมจ.บางจาก จะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 32 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท หลังจากที่ได้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟสแรกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาด 38 เมกะวัตต์ ไปแล้ว และจะเข้าระบบได้ประมาณปลายปีนี้ จากเป้าหมายทั้งหมดที่จะมี 120 เมกะวัตต์ ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยทั้งหมดนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาท