xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยเดือน ม.ค.ไปไม่ไกล โดนบิ๊กแคป “ปตท.-ปตท.สผ.” ฉุดตลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทำนายหุ้นไทยเดือน ม.ค.ไปไม่ถึงฝัน หุ้นบิ๊กแึคป 2 ตัว “ปตท.-ปตท.สผ.” ฉุดตลาด นักวิเคราะห์แนะใช้กลยุทธ์ซื้อขายทำกำไรช่วงสั้น เก็บหุ้นปันผลดี และหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

วันนี้ (6 ม.ค.) นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์ และผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นเดือนมกราคม 2554 ว่า ดัชนีหุ้นคงจะไปไหนได้ไม่ไกลนักเนื่องจากหุ้นใหญ่ 2 ตัวแรก คือ บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (PTT) และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ยังติดหล่มจากปัญหาน้ำมันรั่วไหลที่แหล่งมอนทารา

ประกอบกับหุ้นขนาดเล็กที่น่าจะปรับขึ้นได้อีกจากที่ปรับขึ้นมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาก็คงยากเช่นกัน ทำให้ปรากฏการณ์ January Effect หรือ “แจนยัวอะรี่เอฟเฟกต์” หรือปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคมของทุกปี จากนี้ไปคงเป็นแค่ประวัติศาสตร์เท่านั้น เมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นรู้จักและเข้าใจปรากฏการณ์นี้แล้วการซื้อดักและรอขายในเดือนมกราคมจึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ได้ผลดีอีกต่อไป

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนช่วงเดือนมกราคมนี้ คงเป็นช่วงทำกำไรและซื้อๆ ขายๆ (เทรดดิ้ง) เท่านั้น จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งมีโอกาสแกว่งตัวที่ระดับ 1,000-1,100 จุด โดยแนะนำเป็นจังหวะเก็บเมื่อหุ้นปรับลงมาแตะระดับ 1,000 จุด และขายเมื่อดัชนีปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,100 จุด หรือปรับขึ้นประมาณ 6% ซึ่งมีโอกาสยากมากในเดือนมกราคมที่จะได้เห็นดัชนีปรับขึ้นไปแตะ 1,100 จุด

นายพิชัย กล่าวว่า แม้ว่าในสายตานักลงทุนต่างชาติ ประเมินอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอีเรโช) ตลาดหุ้นไทยใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากหุ้นไทยซื้อขายแบบมีส่วนลด 15-30% หรือราคาถูกมาหลายปีแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีขนาดราว 1ใน 4 ของโลกส่งสัญญาณฟื้นตัวดีเกินคาด และมีแนวโน้มดีต่อเนื่องโดยคาดว่าจะขยายตัวได้เกิน 3% ในปี 2554 การฟื้นตัวของสหรัฐฯทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นแรง เช่น ราคาน้ำมันยืนอยู่ที่จุดสูงสุดในรอบ 26 เดือนเป็นต้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี ซึ่งมีน้ำหนักกว่า1 ใน 3 ของตลาดหุ้นไทย จึงได้อานิสงส์ไปด้วยในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างปี ต้องระวังความผันผวนของตลาดหุ้น เช่น ผลข้างเคียงจากวิกฤตหนี้ยุโรปที่จะปะทุเป็นระยะ การคุมเข้มนโยบายการเงินของจีนความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเช่นโรคระบาดครั้งใหญ่ ภัยธรรมชาติ หรือเหตุก่อการร้ายเป็นต้น ตัวแปรเหล่านี้จะกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออก

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวเช่นเดียวกันว่า ปีนี้โอกาสเกิด “แจนยัวอะรี่เอฟเฟกต์” ในตลาดหุ้นไทยน้อย เนื่องจากช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายปี 2553 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอยู่ และทั้งปีซื้อสุทธิรวมประมาณ 80,000 ล้านบาท ประกอบกับระมัดระวังแรงเทขายของสถาบันในประเทศโดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนได้ 5 ปีปฏิทินในปี 2553 ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งกำไรสูงมากกว่า 20% ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงได้จากแรงขายเพื่อทำกำไร และอาจทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯหลุด 1,000 จุดได้โดยมีโอกาสปรับลงไปที่ระดับ 924 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงเดือนมกราคมนี้ บล.ไทยพาณิชย์ แนะนำให้ขายทำกำไรหุ้นที่ปรับขึ้นจากปีที่ผ่านมาและควรเน้นเข้าเก็บหุ้นปันผลแทนด้วยประมาณ 5-10 % ของพอร์ต เช่น บมจ.น้ำประปาไทย (TTW), กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอน (TFUND) และ บมจ.ฮานาไมโครอิเล็คทรอนิคส์ (HANA) ซึ่งมีโอกาสได้อัตราเงินปันผล (ยิลด์) ประมาณ 7-8%ต่อปี และหุ้นที่ได้รับผลดีจากกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และส่งออกจากสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นชัดเจนแล้วในปีนี้ คือบมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ให้ราคาเป้าหมาย 190 บาท บมจ.บ้านปู (BANPU) ให้ราคาเป้าหมาย 920 บาท และ บมจ.ฮานา ให้ราคาเป้าหมาย 33 บาท เป็นต้น

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าช่วงต้นปี 2554 ยังมีแรงขายของกองทุน LTF โดยจากการรวบรวมตัวเลขของฝ่ายวิจัยประเมินว่า จะมีเงินลงทุนในLTF ปี 2550 ที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทินในช่วงปี 2554 ประมาณ 17,000 ล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 47% จากปีก่อนหน้า โดยที่เงินลงทุนก้อนดังกล่าวมีต้นทุนเฉลี่ยที่ดัชนี 817 จุด ทำให้นักลงทุนมีผลตอบแทนราว 27% (ยังไม่นับรวมผลตอบแทนจากสิทธิ์ลดหย่อนทางภาษี)

แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่า แรงกดดันดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของปี หลังจากจะเข้าสู่ภาวะปกติ หรือหากกระแสเงินทุนต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์ ไหลเข้าค่อนข้างเร็ว ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2554 ก็อาจจะชดเชยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น