“กรณ์” ลั่นแก้สัญญาสัมปทานมือถือเพิ่มส่วนแบ่งคืน 30% ตามคำสั่งศาล พร้อมรื้อโครงสร้างให้แข่งขันเป็นธรรมทุกราย ระบุ ขั้นตอนแล้วเสร็จช่วงเดียวกับคลอดกฎหมาย กสทช.ได้ฤกษ์ผ่าทางตันแจ้งเกิด 3G
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า การดำเนินการสืบเนื่องต่อจากการยึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างรอให้หน่วยงานทีเกี่ยวข้องพิจารณา และดำเนินการตามความเหมาะสม ซึ่งทางกระทรวงไอซีทีอยู่ระหว่างตรวจสอบการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) ที่ลดลงจาก 25-30% เหลือ 20% โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 50 วัน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยืดเวลาให้อีก 60 วัน โดยแนวทางที่เป็นไปได้อาจจะแก้ไขกลับไปสู่อัตราเดิม
ส่วนผู้ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายในช่วงที่ผ่านมา คือ ผู้แก้ไขสัญญา ส่วนจะเรียกร้องเงินที่รัฐสูญเสียไปได้หรือไม่ ก็คงต้องไปฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันจะต้องรับผิดด้วย ส่วนตัวบริษัททีเกี่ยวข้องนั้นก็ต้องรับกับผลกระทบทีเกิดขึ้นอยู่แล้วทั้งรายได้ที่ลดลงจากการนำส่งให้รัฐมากขึ้น และมูลค่าหุ้นที่ลดลง ขณะที่การตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบในส่วนของรัฐวิสาหกิจนั้นยังไม่ได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
สำหรับเรื่องของภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมนั้น จะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องรอกระบวนการต่างๆ ให้ชัดเจนก่อน รวมถึงการสร้างเงื่อนไขในการแข่งขันของภาคเอกชนให้มีความเสมอภาคกัน เพราะเงื่อนไขในปัจจุบันทำให้โอกาสในการแข่งขันไม่เท่าเทียม
“นโยบายรัฐบาลกับเรื่องนี้ คือ หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องไปแก้กฎหมายให้เหมือนเดิม และถูกต้อง รวมถึงแก้ไขโครงสร้างสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือที่ในอดีตทำไม่ถูกต้องไว้ อีกทั้งต้องหาผู้กระทำผิดที่แก้ไขสัญญาสร้างความเสียหายแก่ทีโอที และ กสท ซึ่งผมมองว่าผู้กระทำผิดไม่ใช่ผู้ถือหุ้นในวันนี้ และเมื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จะนำไปสู่การเดินหน้า 3จี และรัฐสภาก็รอพิจารณากฎหมาย พ.ร.บ.กสทช.เพื่อนำไปสู่การออกใบอนุญาต 3จี ต่อไป” นายกรณ์ กล่าวและว่า สำหรับค่าความเสียหายที่ทำให้รัฐเสียรายได้จากแก้ไขสัญญาลดลงจาก 30 เป็น 20-25% นั้น รัฐก็จำเป็นต้องฟ้องร้องจากผู้แก้ไขสัญญาด้วย
ส่วนสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น ว่า ย่อมมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ โดยผู้ส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบ แต่ผู้นำเข้าก็ซื้อสินค้าได้ถูกลง ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินบาทยังเป็นไปตามธรรมชาติ และสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะพยายามเร่งรัดเดินหน้าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทั้งของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เร่งนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศส่วนที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศซื้อ ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อเงินบาทได้ระดับหนึ่ง โดยล่าสุดจะหารือกับทางไจก้า และ รมว.คลังญี่ปุ่น ถึงการสนับสนุนเงินทุนในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเฟส 2 และโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทางญี่ปุ่นพร้อมจะให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า การดำเนินการสืบเนื่องต่อจากการยึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างรอให้หน่วยงานทีเกี่ยวข้องพิจารณา และดำเนินการตามความเหมาะสม ซึ่งทางกระทรวงไอซีทีอยู่ระหว่างตรวจสอบการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) ที่ลดลงจาก 25-30% เหลือ 20% โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 50 วัน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยืดเวลาให้อีก 60 วัน โดยแนวทางที่เป็นไปได้อาจจะแก้ไขกลับไปสู่อัตราเดิม
ส่วนผู้ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายในช่วงที่ผ่านมา คือ ผู้แก้ไขสัญญา ส่วนจะเรียกร้องเงินที่รัฐสูญเสียไปได้หรือไม่ ก็คงต้องไปฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันจะต้องรับผิดด้วย ส่วนตัวบริษัททีเกี่ยวข้องนั้นก็ต้องรับกับผลกระทบทีเกิดขึ้นอยู่แล้วทั้งรายได้ที่ลดลงจากการนำส่งให้รัฐมากขึ้น และมูลค่าหุ้นที่ลดลง ขณะที่การตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบในส่วนของรัฐวิสาหกิจนั้นยังไม่ได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
สำหรับเรื่องของภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมนั้น จะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องรอกระบวนการต่างๆ ให้ชัดเจนก่อน รวมถึงการสร้างเงื่อนไขในการแข่งขันของภาคเอกชนให้มีความเสมอภาคกัน เพราะเงื่อนไขในปัจจุบันทำให้โอกาสในการแข่งขันไม่เท่าเทียม
“นโยบายรัฐบาลกับเรื่องนี้ คือ หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องไปแก้กฎหมายให้เหมือนเดิม และถูกต้อง รวมถึงแก้ไขโครงสร้างสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือที่ในอดีตทำไม่ถูกต้องไว้ อีกทั้งต้องหาผู้กระทำผิดที่แก้ไขสัญญาสร้างความเสียหายแก่ทีโอที และ กสท ซึ่งผมมองว่าผู้กระทำผิดไม่ใช่ผู้ถือหุ้นในวันนี้ และเมื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จะนำไปสู่การเดินหน้า 3จี และรัฐสภาก็รอพิจารณากฎหมาย พ.ร.บ.กสทช.เพื่อนำไปสู่การออกใบอนุญาต 3จี ต่อไป” นายกรณ์ กล่าวและว่า สำหรับค่าความเสียหายที่ทำให้รัฐเสียรายได้จากแก้ไขสัญญาลดลงจาก 30 เป็น 20-25% นั้น รัฐก็จำเป็นต้องฟ้องร้องจากผู้แก้ไขสัญญาด้วย
ส่วนสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น ว่า ย่อมมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ โดยผู้ส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบ แต่ผู้นำเข้าก็ซื้อสินค้าได้ถูกลง ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินบาทยังเป็นไปตามธรรมชาติ และสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะพยายามเร่งรัดเดินหน้าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทั้งของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เร่งนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศส่วนที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศซื้อ ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อเงินบาทได้ระดับหนึ่ง โดยล่าสุดจะหารือกับทางไจก้า และ รมว.คลังญี่ปุ่น ถึงการสนับสนุนเงินทุนในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเฟส 2 และโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทางญี่ปุ่นพร้อมจะให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว