xs
xsm
sm
md
lg

คาดเมกะโปรเจกต์ดันตลาดปูนซีเมนต์โต 3% เอกชนฝากหวัง SP2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายฟิลิป พอล อเล็กซานดร์ อาร์โต้
คาดปี 53 ตลาดปูนซีเมนต์ปี 2553 ยังขยายตัวได้ 3% รับอานิสงค์การลงทุน SP2 กระตุ้น ศก. ผู้บริหาร SCCC มั่นใจโกยยอดขายในประเทศ 6.87 ล้านตัน เตรียมลงทุนเพิ่มอีก 600 ล้านบาท เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด 27.7% พร้อมฝากความหวังนโยบายต่อเนื่องของรัฐบาล เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเมกะโปรเจกต์

นายฟิลิป พอล อเล็กซานดร์ อาร์โต้ กรรมการผู้จัดการ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC กล่าวถึงสถานการณ์การก่อสร้างและการลงทุนเมกะโปรเจกต์ปี 2553 โดยคาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2552 จำนวน 3% จากผลดีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) ของภาครัฐ รวมถึงเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 6.87 ล้านตันในปีนี้ โดยจะรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 27.7%

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2552 ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปรับลดลง 2% เมื่อเทียบปี 2551 ซึ่งถือว่าลดลงน้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 10% ซึ่งความต้องการใช้ปูนลดลงในปี25 52 จากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ขณะนี้มองว่า สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนและผู้บริโภคให้ปรับตัวดีขึ้น

"บริษัทจะพยายามรักษามาร์เกตแชร์ที่ระดับ 27.7% ภายใต้ยอดขายในประเทศที่ 6.87 ล้านตัน สูงขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน เนื่องจากมาตรการของภาครัฐ และภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีสัญญาณดีขึ้น นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปีก่อน น่าจะสนับสนุนให้ปริมาณความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้น"

อย่างไรก็ตาม นายฟิลิป ยอมรับว่า ในแง่ของราคาขายยังประเมินได้ยากในขณะนี้ คงจะต้องขึ้นกับภาวะตลาดและการแข่งขันด้วย เพราะราคาขายปูนซีเมนต์ นับตั้งแต่ต้นปี 2553 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ถือว่าผิดปกติจากที่ราคาขายทุกปีจะลดลงในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 แต่บริษัทยังเชื่อว่า ราคาจะมีเสถียรภาพภายในสิ้นปีนี้ได้

"มองยากเหมือนกันในปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร คงขึ้นอยู่กับการกระตุ้นของภาครัฐว่าจะอัดฉีดการลงทุนและการก่อสร้างได้มากน้อยแค่ไหน เพราะของเราก็ขับเคลื่อนไปตามธุรกิจอสังหาฯ แต่เท่าที่ดูโครงการของภาครัฐที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีม่วงหรือสายสีแดง น่าจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้ แต่ยังมีปัจจัยเรื่องเสถียรภาพของการเมืองที่จะมีประเด็นเข้ามาด้วยเหมือนกัน"

นายฟิลิป ยังเปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนและการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดเตรียมเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทน ซึ่งหน่วยผลิตไฟฟ้าจากความร้อนเหลือใช้ของเตาเผาที่ 5 และ 6 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนกรกฎาคม 2553 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงปีละ 25 เมกกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการที่ลงทุนต่อเนื่องมาจากปีก่อน คาดว่าจะลดต้นทุนลงได้ 400-500 ล้านบาทต่อปี

โดยในปีนี้ บริษัทจะยังให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 600 ล้านบาท ในหน่วยผลิตไฟฟ้าจากความร้อนเหลือใช้เพิ่มเติมอีก 7 เมกะวัตต์ ซึ่งน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2554 เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนลงได้อีก 140 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น