ตลาดหุ้นไทยสุดคึก เมินทัพแดงถ่อยป่วนเมือง ต่างชาติซื้อต่อเนื่องอีกกว่า 3 พันล้าน ผลักดันมูลค่าการซื้อขายเฉียด 3.4 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 เดือน ดัชนีบวกเพิ่มอีก 13.34 จุด คิดเป็น 1.77% ส่งผลให้ 5 วันทำการตั้งแต่แดงเริ่มป่วนดัชนีเพิ่มขึ้นแล้วเกือบ 50 จุด นักวิเคราะห์ เผย ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ย 0-0.25% ทำให้มีเงินไหลเข้าเอเชีย และคลายกังวลจากม็อบแดงถ่อย
บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยสามารถปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 767.81 จุด ต่ำสุดที่ 757.15 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 765.54 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 13.34 จุด หรือคิดเป็น 1.77% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 33,676.78 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อสุทธิสูงถึง 3,026.06 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,600.87 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 3,026.06 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 5,444.40 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.53 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิรวมทั้งสิ้น 24,576.29 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 250 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4 บาท หรือคิดเป็น 1.63% มูลค่าการซื้อขาย 2,714.06 ล้านบาท อันดับสอง บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 148 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.86% มูลค่าการซื้อขาย 2,572.93 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ราคาปิด 614 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 0.99% มูลค่าการซื้อขาย 1,712.17 ล้านบาท
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันตลอดระยะเวลา 5 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 10-17 มี.ค.53 จากวันที่ 9 มี.ค.53 ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 718.77 จุด เทียบกับล่าสุด (17 มี.ค.) ปิดที่ 765.54 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 46.77 จุด หรือคิดเป็น 6.51% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายวานนี้ที่ 33,676.78 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังจากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.52 ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 53,773.90 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังจากที่มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มียอดซื้อสุทธิเพิ่มอีกกว่า 3 พันล้านบาท รวมถึงนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ประเมินการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงไม่มีนัยสำคัญแล้ว ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาจากบรรดากองทุนในประเทศ และแรงซื้อหนุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ส่งผลให้มีเงินไหลออกจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดในภูมิภาคนี้ สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาคบวกกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรตส์ไทม์ ปิดที่ระดับ 2,919.30 จุด เพิ่มขึ้น 22.87 จุด ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ระดับ 21,384.49 จุด เพิ่มขึ้น 361.56 จุด และตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ระดับ 10,846.98 จุด เพิ่มขึ้น 125.27 จุด เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยนั้น ดัชนีอาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 755-760 จุด โดยกลยุทธ์สำคัญ แนะนำนักลงทุนเทขายหุ้นราคาสูงเกินไปบางส่วน และคงถือหุ้นที่ราคายังต่ำอยู่
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างบวกกันทั่วหน้า เช่นเดียวกับตลาดในแถบยุโรป หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และมีเม็ดเงินไหลเข้ามาที่ตลาดหุ้นในภูมิภาค และตลาดในแถบยุโรป และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศเวลานี้ต่างมองกันว่าอาจจะออกมามีผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาดกันไว้ จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น หากการเมืองสามารถผ่านไปได้ด้วยดี และจะทำให้นักลงทุนในประเทศกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ โดยให้แนวต้านไว้ที่ 770, 777 จุด แนวรับ 760 จุด ขณะเดียวกัน หากดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 770-780 จุด ให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นทำกำไรบางส่วน
บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยสามารถปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 767.81 จุด ต่ำสุดที่ 757.15 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 765.54 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 13.34 จุด หรือคิดเป็น 1.77% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 33,676.78 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อสุทธิสูงถึง 3,026.06 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,600.87 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 3,026.06 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 5,444.40 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.53 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิรวมทั้งสิ้น 24,576.29 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 250 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4 บาท หรือคิดเป็น 1.63% มูลค่าการซื้อขาย 2,714.06 ล้านบาท อันดับสอง บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 148 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.86% มูลค่าการซื้อขาย 2,572.93 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ราคาปิด 614 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 0.99% มูลค่าการซื้อขาย 1,712.17 ล้านบาท
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันตลอดระยะเวลา 5 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 10-17 มี.ค.53 จากวันที่ 9 มี.ค.53 ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 718.77 จุด เทียบกับล่าสุด (17 มี.ค.) ปิดที่ 765.54 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 46.77 จุด หรือคิดเป็น 6.51% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายวานนี้ที่ 33,676.78 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังจากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.52 ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 53,773.90 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังจากที่มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มียอดซื้อสุทธิเพิ่มอีกกว่า 3 พันล้านบาท รวมถึงนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ประเมินการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงไม่มีนัยสำคัญแล้ว ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาจากบรรดากองทุนในประเทศ และแรงซื้อหนุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ส่งผลให้มีเงินไหลออกจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดในภูมิภาคนี้ สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาคบวกกันถ้วนหน้า อาทิ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรตส์ไทม์ ปิดที่ระดับ 2,919.30 จุด เพิ่มขึ้น 22.87 จุด ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ระดับ 21,384.49 จุด เพิ่มขึ้น 361.56 จุด และตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิ ปิดที่ระดับ 10,846.98 จุด เพิ่มขึ้น 125.27 จุด เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยนั้น ดัชนีอาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 755-760 จุด โดยกลยุทธ์สำคัญ แนะนำนักลงทุนเทขายหุ้นราคาสูงเกินไปบางส่วน และคงถือหุ้นที่ราคายังต่ำอยู่
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างบวกกันทั่วหน้า เช่นเดียวกับตลาดในแถบยุโรป หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และมีเม็ดเงินไหลเข้ามาที่ตลาดหุ้นในภูมิภาค และตลาดในแถบยุโรป และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศเวลานี้ต่างมองกันว่าอาจจะออกมามีผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาดกันไว้ จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น หากการเมืองสามารถผ่านไปได้ด้วยดี และจะทำให้นักลงทุนในประเทศกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ โดยให้แนวต้านไว้ที่ 770, 777 จุด แนวรับ 760 จุด ขณะเดียวกัน หากดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 770-780 จุด ให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นทำกำไรบางส่วน