TOA เดินหน้าเปิดตัว “ซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียม” สีทนทุกสภาพอากาศรุนแรง พร้อมรับประกัน 15 ปี ท่ามกลางเสื้อแดงประท้วงหนัก ทำใจรับสภาพหากกระแสไม่แรง พร้อมอัดงบการตลาด 80 ล้านบาท คาดภาพรวมตลาดสีปี 53 โตแค่ 5% ส่วนเป้ายอดขายตั้งไว้ที่ 12,300 ล้านบาท
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวสีใหม่ล่าสุด “ซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียม” สีระดับเอ็กซ์ตร้าพรีเนียมของทีโอเอ ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยนายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอเอ เปิดเผยว่า ยอมรับว่าการเปิดตัวในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก แต่เนื่องจากได้วางแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งสีดังกล่าวได้เริ่มวางตลาดไปบ้างแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเดินหน้าเปิดตัวในช่วงเวลานี้
“อย่างไรก็ตาม บริษัทพร้อมที่จะยอมรับหากสีดังกล่าวกระแสไม่แรงอย่างที่คาดเอาไว้ แต่เท่าที่ดูในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาการชุมนุมไม่ได้รุนแรงมากนักจึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่จะกระทบเฉพาะตลาดในกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดเท่าที่สอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายก็ยังขายได้ นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งงบการตลาดของสีซุปเปอร์ซิลด์ ไทยทาเนียมไว้ถึง 80 ล้านบาท โดยจะโปรโมตผ่านสื่อต่างๆ” นายจตุภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้จากการที่สภาพอากาศที่รุนแรงในปัจจุบัน เช่น พายุ น้ำท่วม ความแห้งแร้ง อากาศร้อนรุนแรงและฝนกรด รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบันล้วนมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่เพียงทำให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกร้อนขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้น้ำบนพื้นผิวโลกระเหยมากขึ้น ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดสภาพอากาศที่รุนแรง ซึ่งปัญหาดังกล่าวล้วนก่อให้เกิดปัญหากับสีทาบ้าน
ดังนั้นบริษัทจึงได้คิดค้นสีซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียมดังกล่าวขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยี Titanium Triple Protection หรือไททาเนียม 3 ชั้นปกป้องสีบ้านตั้งแต่ผิวนอกจนถึงโครงสร้างด้านใน นานถึง 15 ปีซึ่งการันตีคุณภาพการทดสอบจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (TISTR) อีกทั้งด้วยโมเลกุล ไททาเนียมชนิดพิเศษที่ผ่านการเคลือบเสริมความแข็งแกร่งถึง 3 ชั้น จึงแกร่งทนและช่วยป้องกันการสะท้อนแสง UVA, UVB และน้ำที่จะเข้ามาทำลาย ทั้งยังมีโครงสร้างโพลิเมอร์ เพิ่มประสิทธิภาพความทนทานของฟิล์มสีไม่ให้เกิดการเสื่อมสภาพ เช่น การลอกล่อนเป็นฝุ่นผง นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประกันสีเป็นฝุ่นชอล์กนาน 15 ปี ส่วนราคาขายประมาณ 600 บาท/แกลลอน ( 5 ลิตร ) ขณะที่สีระดับบนขณะนี้ประมาณ 500-550 บาท/แกลลอน
ปัจจุบัน ทีโอเอครองส่วนแบ่งตลาดสีทาอาคารเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งเกินกว่า 50% จากมูลค่าตลาดสีทาอาคาร 12,300 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดสีพรีเนียม 60% หรือคิดเป็น 3,500 ล้านบาท จากตลาดทั้งหมด 5,800 ล้านบาท ซึ่งในปี 53 นี้ตลาดสีทาอาคารจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ขณะที่รัฐบาลได้ผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปัจจัยลบทั้งการเมืองและเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ลูกค้าหลักของ ทีโอเอมี 2 กลุ่มคือ ตลาดบ้านใหม่และตลาดบ้านเก่า โดยตลาดบ้านเก่าหรือรีเพ้นท์ จะมีสัดส่วนมากกว่า 60-70% ขณะที่ตลาดบ้านใหม่มีเพียง 30-40% เท่านั้น
โดยในปีนี้บริษัทวางแผนใช้งบการตลาดทั้งปีไว้ที่ 200 ล้านบาท จากเป้ายอดขายรวม 10,654 ล้านบาท หรือเติบโต 11% จากปี 2552 ที่ปิดยอดขายที่ 9,600 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการตลาดเป็นกลุ่มสีทาอาคาร (Decorative Paint) คิดเป็น 60% หรือ 7,380 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 12,300 ล้านบาท และกลุ่มสีอื่น (Non-Decorative Paint) คิดเป็น 22% หรือ 1,960 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 9,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2553 บริษัทจะดำเนินนโยบายภายใต้วิชั่น ผู้นำสี...สู่อนาคต เพื่อให้บริษัทเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดสีในประเทศไทยและในเอเชีย ด้วยบทบาทผู้นำแห่งนวัตกรรมด้านสีสู่อนาคต เน้นการมุ่งมั่นนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมรูปแบบธรรมการดำเนินธุรกิจภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคม
“ในช่วง 1-2 ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดีย ฯ อีก 1 แห่ง จากเดิมมีโรงงานในประเทศ มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตัดสินใจเลือกประเทศที่เหมาะสมที่สุด ส่วนการลงทุนในประเทศขณะโรงงานย่านบางนา-ตราด กม. 23 และอาคารสำนักงาน ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จและจะเปิดดำเนินการในเดือนเม.ย.นี้ ใช้งบลงทุน 1,200 ล้านบาท ส่วนอาคารสำนักงานใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิต 80,000 แกลลอน/วัน ขณะที่โรงงานเก่ามีกำลังการผลิต 2 แสนแกลลอนต่อวัน”
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวสีใหม่ล่าสุด “ซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียม” สีระดับเอ็กซ์ตร้าพรีเนียมของทีโอเอ ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยนายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอเอ เปิดเผยว่า ยอมรับว่าการเปิดตัวในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก แต่เนื่องจากได้วางแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งสีดังกล่าวได้เริ่มวางตลาดไปบ้างแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเดินหน้าเปิดตัวในช่วงเวลานี้
“อย่างไรก็ตาม บริษัทพร้อมที่จะยอมรับหากสีดังกล่าวกระแสไม่แรงอย่างที่คาดเอาไว้ แต่เท่าที่ดูในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาการชุมนุมไม่ได้รุนแรงมากนักจึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่จะกระทบเฉพาะตลาดในกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดเท่าที่สอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายก็ยังขายได้ นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งงบการตลาดของสีซุปเปอร์ซิลด์ ไทยทาเนียมไว้ถึง 80 ล้านบาท โดยจะโปรโมตผ่านสื่อต่างๆ” นายจตุภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้จากการที่สภาพอากาศที่รุนแรงในปัจจุบัน เช่น พายุ น้ำท่วม ความแห้งแร้ง อากาศร้อนรุนแรงและฝนกรด รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบันล้วนมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่เพียงทำให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกร้อนขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้น้ำบนพื้นผิวโลกระเหยมากขึ้น ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดสภาพอากาศที่รุนแรง ซึ่งปัญหาดังกล่าวล้วนก่อให้เกิดปัญหากับสีทาบ้าน
ดังนั้นบริษัทจึงได้คิดค้นสีซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียมดังกล่าวขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยี Titanium Triple Protection หรือไททาเนียม 3 ชั้นปกป้องสีบ้านตั้งแต่ผิวนอกจนถึงโครงสร้างด้านใน นานถึง 15 ปีซึ่งการันตีคุณภาพการทดสอบจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (TISTR) อีกทั้งด้วยโมเลกุล ไททาเนียมชนิดพิเศษที่ผ่านการเคลือบเสริมความแข็งแกร่งถึง 3 ชั้น จึงแกร่งทนและช่วยป้องกันการสะท้อนแสง UVA, UVB และน้ำที่จะเข้ามาทำลาย ทั้งยังมีโครงสร้างโพลิเมอร์ เพิ่มประสิทธิภาพความทนทานของฟิล์มสีไม่ให้เกิดการเสื่อมสภาพ เช่น การลอกล่อนเป็นฝุ่นผง นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประกันสีเป็นฝุ่นชอล์กนาน 15 ปี ส่วนราคาขายประมาณ 600 บาท/แกลลอน ( 5 ลิตร ) ขณะที่สีระดับบนขณะนี้ประมาณ 500-550 บาท/แกลลอน
ปัจจุบัน ทีโอเอครองส่วนแบ่งตลาดสีทาอาคารเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งเกินกว่า 50% จากมูลค่าตลาดสีทาอาคาร 12,300 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดสีพรีเนียม 60% หรือคิดเป็น 3,500 ล้านบาท จากตลาดทั้งหมด 5,800 ล้านบาท ซึ่งในปี 53 นี้ตลาดสีทาอาคารจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ขณะที่รัฐบาลได้ผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปัจจัยลบทั้งการเมืองและเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ลูกค้าหลักของ ทีโอเอมี 2 กลุ่มคือ ตลาดบ้านใหม่และตลาดบ้านเก่า โดยตลาดบ้านเก่าหรือรีเพ้นท์ จะมีสัดส่วนมากกว่า 60-70% ขณะที่ตลาดบ้านใหม่มีเพียง 30-40% เท่านั้น
โดยในปีนี้บริษัทวางแผนใช้งบการตลาดทั้งปีไว้ที่ 200 ล้านบาท จากเป้ายอดขายรวม 10,654 ล้านบาท หรือเติบโต 11% จากปี 2552 ที่ปิดยอดขายที่ 9,600 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการตลาดเป็นกลุ่มสีทาอาคาร (Decorative Paint) คิดเป็น 60% หรือ 7,380 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 12,300 ล้านบาท และกลุ่มสีอื่น (Non-Decorative Paint) คิดเป็น 22% หรือ 1,960 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 9,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2553 บริษัทจะดำเนินนโยบายภายใต้วิชั่น ผู้นำสี...สู่อนาคต เพื่อให้บริษัทเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดสีในประเทศไทยและในเอเชีย ด้วยบทบาทผู้นำแห่งนวัตกรรมด้านสีสู่อนาคต เน้นการมุ่งมั่นนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมรูปแบบธรรมการดำเนินธุรกิจภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคม
“ในช่วง 1-2 ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดีย ฯ อีก 1 แห่ง จากเดิมมีโรงงานในประเทศ มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตัดสินใจเลือกประเทศที่เหมาะสมที่สุด ส่วนการลงทุนในประเทศขณะโรงงานย่านบางนา-ตราด กม. 23 และอาคารสำนักงาน ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จและจะเปิดดำเนินการในเดือนเม.ย.นี้ ใช้งบลงทุน 1,200 ล้านบาท ส่วนอาคารสำนักงานใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิต 80,000 แกลลอน/วัน ขณะที่โรงงานเก่ามีกำลังการผลิต 2 แสนแกลลอนต่อวัน”