อีซี่ทรัสแตกหน่อตั้งทีมตัวแทนขาย หวังเพิ่มช่องทางการตลาดครอบคลุมถึงลูกค้า ยึดหัวหาดจังหวัดหัวเมืองใหญ่เป็นสมรภูมิขายโครงหลังคาสำเร็จรูป ลั่นไม่หวั่นรัฐเลิกมาตรการกระตุ้นอสังหา สั่งเดินหน้าลุยเจาะตลาดบ้านจัดสรร เชื่อยังมีดีมานด์ ตั้งเป้าทีมขายโรงงานต่อปีต้องได้ 1 แสนตร.ม.
นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “อีซี่ทรัส”เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ มีมติให้บริษัทฯ ตั้งทีมงานตัวแทนฝ่ายขาย เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการขายควบคู่ไปกับตัวแทนจำหน่าย หวังรองรับตลาดบ้านจัดสรร ซึ่งในปีนี้ แผนงานของบริษัทฯ มุ่งขยายธุรกิจเจาะตลาดบ้านจัดสรร นอกเหนือจากที่บริษัทฯ มีลูกค้าในธุรกิจรับสร้างบ้านอยู่ในมือแล้ว
“ถือเป็นการรองรับตลาดบ้านจัดสรรเต็มรูปแบบ ซึ่งเราจะต้องมีฝ่ายขายที่เข้าถึงกับลูกค้า และเป็นการขยายแบบคู่ขนานกับร้านวัสดุก่อสร้างที่เราเป็นพันธมิตร ถือเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างยอดขายให้แก่บริษัทฯ ของเรา”
นายสรพลกล่าวต่อว่า ในส่วนของการตั้งเป้ายอดขายของบริษัทฯ โดยเฉพาะทีมงานขายโรงงาน บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายต่อปีไว้ที่ประมาณ 1 แสนตารางเมตร(ตร.ม.) ขณะที่ในส่วนของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีการตั้งเป้าหมายแต่อย่างใด โดยช่วงแรกเราจะเน้นไปที่ทีมขายโรงงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 2 แสนตร.ม. ในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3 แสนตร.ม. คือ เพิ่มเป้าอีก 1 แสนตร.ม.จากทีมงานขายของโรงงานของเรา
นอกจากนี้ นายสรพลยังกล่าวมาตรการกระตุ้นทางด้านภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลไม่ต่อมาตรการนั้น เรื่องนี้ บริษัทฯก็ได้รับผลกระทบบ้าง เนื่องจากในปี2553 บริษัทฯเริ่มขยายฐานลูกค้าบ้านจัดสรร โดยสัดส่วนที่ขยายฐานบ้านจัดสรรนั้นประมาณ 30% ส่วนอีก 70% ยังเป็นกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน
“ต้องยอมรับว่าเราก็กระทบบ้าง แต่เราก็ยังเดินหน้าเจาะตลาดบ้านจัดสรร เนื่องจากมองว่า ความต้องการองธุรกิจนี้ยังมีอยู่มาก ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เราก็มีฐานอยู่แล้วประมาณ 10 ราย ซึ่งทำให้บริษัทฯ ไม่ได้กังวลใจกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้”
สำหรับยอดขายในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา โตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยจะได้กลุ่มลูกค้าเก่า และกลุ่มลูกค้าใหม่เริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการโครงหลังคาของเรา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้าในอัตราการเติบโตประมาณ 10% ซึ่งในปี 2552 ผลประกอบการบริษัทฯสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 120 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มและทิศทางของตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูป ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจโครงหลังคาสำเร็จรูป สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ ถือว่าตัวเลขยังน้อย หากเปรียบเทียบกับโครงหลังคาแบบเหล็กเชื่อม โดยภาพรวมของธุรกิจโครงหลังคาสำเร็จรูปทุกรายนั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกันไม่ถึง 10% เท่านั้น ขณะที่โครงหลังคาแบบเหล็กเชื่อม ครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% ซึ่งมองว่า ตลาดธุรกิจโครงหลังคานั้น ยังมีมูลค่าตลาดมหาศาล
นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “อีซี่ทรัส”เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ มีมติให้บริษัทฯ ตั้งทีมงานตัวแทนฝ่ายขาย เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการขายควบคู่ไปกับตัวแทนจำหน่าย หวังรองรับตลาดบ้านจัดสรร ซึ่งในปีนี้ แผนงานของบริษัทฯ มุ่งขยายธุรกิจเจาะตลาดบ้านจัดสรร นอกเหนือจากที่บริษัทฯ มีลูกค้าในธุรกิจรับสร้างบ้านอยู่ในมือแล้ว
“ถือเป็นการรองรับตลาดบ้านจัดสรรเต็มรูปแบบ ซึ่งเราจะต้องมีฝ่ายขายที่เข้าถึงกับลูกค้า และเป็นการขยายแบบคู่ขนานกับร้านวัสดุก่อสร้างที่เราเป็นพันธมิตร ถือเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างยอดขายให้แก่บริษัทฯ ของเรา”
นายสรพลกล่าวต่อว่า ในส่วนของการตั้งเป้ายอดขายของบริษัทฯ โดยเฉพาะทีมงานขายโรงงาน บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายต่อปีไว้ที่ประมาณ 1 แสนตารางเมตร(ตร.ม.) ขณะที่ในส่วนของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีการตั้งเป้าหมายแต่อย่างใด โดยช่วงแรกเราจะเน้นไปที่ทีมขายโรงงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 2 แสนตร.ม. ในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3 แสนตร.ม. คือ เพิ่มเป้าอีก 1 แสนตร.ม.จากทีมงานขายของโรงงานของเรา
นอกจากนี้ นายสรพลยังกล่าวมาตรการกระตุ้นทางด้านภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลไม่ต่อมาตรการนั้น เรื่องนี้ บริษัทฯก็ได้รับผลกระทบบ้าง เนื่องจากในปี2553 บริษัทฯเริ่มขยายฐานลูกค้าบ้านจัดสรร โดยสัดส่วนที่ขยายฐานบ้านจัดสรรนั้นประมาณ 30% ส่วนอีก 70% ยังเป็นกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน
“ต้องยอมรับว่าเราก็กระทบบ้าง แต่เราก็ยังเดินหน้าเจาะตลาดบ้านจัดสรร เนื่องจากมองว่า ความต้องการองธุรกิจนี้ยังมีอยู่มาก ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เราก็มีฐานอยู่แล้วประมาณ 10 ราย ซึ่งทำให้บริษัทฯ ไม่ได้กังวลใจกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้”
สำหรับยอดขายในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา โตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยจะได้กลุ่มลูกค้าเก่า และกลุ่มลูกค้าใหม่เริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการโครงหลังคาของเรา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้าในอัตราการเติบโตประมาณ 10% ซึ่งในปี 2552 ผลประกอบการบริษัทฯสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 120 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มและทิศทางของตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูป ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจโครงหลังคาสำเร็จรูป สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ ถือว่าตัวเลขยังน้อย หากเปรียบเทียบกับโครงหลังคาแบบเหล็กเชื่อม โดยภาพรวมของธุรกิจโครงหลังคาสำเร็จรูปทุกรายนั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกันไม่ถึง 10% เท่านั้น ขณะที่โครงหลังคาแบบเหล็กเชื่อม ครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% ซึ่งมองว่า ตลาดธุรกิจโครงหลังคานั้น ยังมีมูลค่าตลาดมหาศาล