xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการ ตลท.เผยผลสำรวจ "เจบิก" นลท.ญี่ปุ่นมองไทยยังน่าลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภัทรียา เบญจพลชัย
"ภัทรียา" เผยผลสำรวจ "เจบิก" นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองไทยน่าลงทุนเป็นอันดับ 4 รองจาก จีน อินเดีย เวียดนาม แต่ยังมีปัจจัยน่ากังวลเรื่องความมั่นคงทางสังคมและการเมือง พร้อมแนะให้หาทางออกเรื่องมาบตาพุด

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่งประเทศแห่งประเทศญี่ป่น (The Japan Bank for International Cooperation : JBIC) เรื่องความน่าสนใจลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย พบว่า ไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนโดยตรง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ทั้งนี้ ผลสำรวจที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 โดยพบว่านักลงทุนญี่ปุ่นมองประเทศไทยน่าลงทุนเป็นอับดับ 4 รองจาก จีน อินเดีย เวียดนาม เป็นการเลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 5 เมื่อปี 2551 พร้อมระบุว่า ไทยมีข้อดีเนื่องจากมีโอกาสเติบโตในเชิงการลงทุน ปัจจัยหลายด้านยังน่าสนใจ แต่ยังมีปัจจัยน่ากังวลเรื่องความมั่นคงทางสังคมและการเมือง แต่ผลสำรวจนี้ยังไม่รวมปัญหามาบตาพุด เพราะเป็นการสำรวจเมื่อกรกฎาคม-กันยายน 2552 โดยการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 22% ของการลงทุนรวมในประเทศไทย

นางภัทรียา กล่าวว่า รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหามาบตาพุดให้ยุติโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่ออันดับความน่าลงทุนของไทยส่วนปัญหาการเมือง ขณะนี้เป็นปัจจัยที่นักลงทุนกังวลอยู่เมื่อเทียบกับ 4 ปีที่ผ่านมา

"นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองไทยน่าสนใจ แต่การเติบโตอาจไม่รวดเร็ว แต่ก็ถือว่า อยู่อันดับที่ดี"

ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 มีนักลงทุนยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอแล้ว 50,000 ล้านบาท ถือเป็นระดับที่น่าพอใจ จากที่ตั้งเป้าทั้งปีนี้ที่ 5 แสนล้านบาท โดยธุรกิจที่ยื่นขอส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นการขอรับการส่งเสริมต่อเนื่องจากปีก่อน รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร อิเล็กทรอนิคส์ ซึ่งธุรกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่อุตสาหกรรมยานยนต์อาจฟื้นตัวช้าอิเล็กทรอนิคส์ เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน รวมถึงโครงการพลังงานทดแทนที่รัฐบาลให้การสนับสนุน

สำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ติดปัญหาการลงทุนมาบตาพุด พบว่ามีเพียงแค่ 5 แห่ง และโครงการที่ติดปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นโครงการปิโตรเคมี จึงไม่น่ากระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ขณะที่บีโอไอเตรียมไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นในวันที่ 11-13 มีนาคม 2553 เพื่อชี้แจงสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศ และชักชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนยังมองไทยน่าสนใจลงทุนอยู่

นายซูสุมุ คุชิดะ เศรษฐกรอาวุโส และหัวหน้าสำนักงานเจบิก ประจำประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า การสำรวจประจำปี 2552 ไทยยังคงมีศักยภาพที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 โดยมีศักยภาพของตลาดในประเทศ อัตราค่าจ้างต่ำ และการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญ แต่ไทยควรเร่งแก้อุปสรรคบางประการ เช่น สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในระดับบริหาร และเสถียรภาพการเมือง

นอกจากนี้ รายงานสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าและผู้ลงทุนสำคัญในไทย โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่น สูงเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา โดยมีมูลค่าการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในปี 2552 เป็นมูลค่ารวม 15.7 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฐานะการลงทุนโดยตรงสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2552 มีมูลค่าการลงทุนโดยตรงสุทธิในไทย สูงกว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์

โดยวันนี้ ตลท. ร่วมกับ เจบิก จัดสัมมนา “The 2009 JBIC Survey Report on Overseas Business Operations by Japanese Manufacturing Companies” เพื่อนำเสนอผลการสำรวจและแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทย และเสวนาในหัวข้อ “Thailand: A Promising Country for Foreign Companies” ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทย และบริษัทที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับนักลงทุนญี่ปุ่น

กำลังโหลดความคิดเห็น