หุ้นไทยยังโดนปัจจับลบรุมเร้า ทั้งจากภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะการขู่รวมพลกดดันรัฐบาลที่สนามาบินสุวรรณภูมิของกลุ่มเสื้อแดง ปิดที่ 731.80 จุด ลดลง 4.68 จุด นักวิเคราะห์ชี้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไร้ปัจจัยสนับสนุน ขณะที่ผู้จัดการกองทุน คาดดัชนีหุ้น ณ สิ้นปีอยู่ที่ 800 จุด ชี้นักลงทุนต้องจับตาการเคลื่อนไหวของม็อบ และคดียึดทรัพย์อย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20ม.ค.) ผันผวนในแดนลบตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 731.80 จุด ลดลง 4.68 จุด หรือ-0.64% มูลค่าการซื้อขาย 18,877.45 ล้านบาท ซึ่งการปรับตัวลงต่อเนื่อง มาจากแรงขายจากหุ้นขนาดใหญ่ เหตุตลาดหุ้นไร้ปัจจัยหนุน-อีกทั้งเจอสัญญาณเทคนิคเป็นลบ จากภาวะการเมืองกดดัน ทำให้ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 740.05 จุด และต่ำสุดที่ 723.15 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,214.65 ล้านบาท ปิดที่ 238.00 บาท ลดลง 4.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,209.02 ล้านบาท ปิดที่ 26.00 บาท ลดลง 0.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,184.27 ล้านบาท ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 2.50 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 870.34 ล้านบาท ปิดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 786.13 ล้านบาท ปิดที่ 82.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ โดยรับแรงขายจากหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยหนุน และสัญญาณทางเทคนิคของตลาดฯเป็นลบหลังจากที่วานนี้ปรับตัวลง
"ในช่วงเช้าตลาดฯก็มีบวกบ้างแต่ก็ไม่มีผลเท่าไร เพราะตลาดต่างประเทศได้บวกในช่วงเช้า และต่อมาก็ปรับตัวมาอยู่ในแดนลบ ดังนั้น จึงมองตลาดฯช่วงนี้คงเป็นขาลง เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมไม่ดี ไม่มีอะไรบวก ทั้งปัจจัยในประเทศในเรื่องของการเมืองก็กดดัน"นายอนุพนธ์ กล่าว
ส่วน ตลาดต่างประเทศช่วงนี้ก็ติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งข้อมูลที่ออกมาอาจเป็นได้ทั้งบวก-ลบ แต่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ โดยมีปัจจัยถ่วงจากที่จีนใช้มาตรการควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้นจีน, ฮ่องกง
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(21 ม.ค.) ภาพโดยรวมของตลาดฯยังคงผันผวนอยู่ พร้อมให้ติดตามตลาดสหรัฐฯและยุโรป ถ้าวันนี้ปัจจัยในภูมิภาคไม่มีอะไรเปลี่ยนทิศทางตลาดฯก็น่าจะยังเป็นลบอยู่ พร้อมให้แนวรับ 720,723 จุด แนวต้าน 740 จุด
**ผู้จัดกองทุนให้หุ้นไทยปีนี้800จุด
นายประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา(AYS)เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 53 คาดว่าดัชนีจะแกว่งที่ระดับ 600-800 กว่าจุด ส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อสร้างแรงกดดันรัฐบาลนั้น ช่วงนี้ต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่การตัดสินของศาลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ต้องรอว่าสุดท้ายแล้วคำตัดสินของศาลจะเป็นอย่างไร และถ้าตัดสินมีผลตัดสินแล้วถือว่ายุติไปได้เรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเมืองที่ขับเคลื่อนอยู่ขณะนี้ ยังมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน
ปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้ คือ ปัจจัยการเมือง การจัดการปัญหาที่มาบตาพุดต้องให้ยุติโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้เริ่มมีความคาดหวังแล้ว หากแก้ไขได้เร็วจะเป็นผลดี ขณะที่การเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3จี ที่รอมา 3 ปีแล้ว ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสรุปได้เมื่อไร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกสำคัญยังอยู่ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้เอง สัญญาณการฟื้นตัวเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกตามออเดอร์ นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเองก็เริ่มฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ด้านนางสาวแจส ลิม รองผู้อำนวยการสายบุคคลธนกิจ ส่วนเงินฝากและการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า ซิตี้กรุ๊ปได้ปรับประมาณการณ์ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ใหม่จากเดิที่คาดว่าจะอยู่ที่ 740 จุด เป็น 840 จุดแทน โดยมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและเศรษฐกิจโลก จะเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะขับเคลื่อนหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20ม.ค.) ผันผวนในแดนลบตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ 731.80 จุด ลดลง 4.68 จุด หรือ-0.64% มูลค่าการซื้อขาย 18,877.45 ล้านบาท ซึ่งการปรับตัวลงต่อเนื่อง มาจากแรงขายจากหุ้นขนาดใหญ่ เหตุตลาดหุ้นไร้ปัจจัยหนุน-อีกทั้งเจอสัญญาณเทคนิคเป็นลบ จากภาวะการเมืองกดดัน ทำให้ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 740.05 จุด และต่ำสุดที่ 723.15 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,214.65 ล้านบาท ปิดที่ 238.00 บาท ลดลง 4.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,209.02 ล้านบาท ปิดที่ 26.00 บาท ลดลง 0.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,184.27 ล้านบาท ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 2.50 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 870.34 ล้านบาท ปิดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 786.13 ล้านบาท ปิดที่ 82.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ โดยรับแรงขายจากหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยหนุน และสัญญาณทางเทคนิคของตลาดฯเป็นลบหลังจากที่วานนี้ปรับตัวลง
"ในช่วงเช้าตลาดฯก็มีบวกบ้างแต่ก็ไม่มีผลเท่าไร เพราะตลาดต่างประเทศได้บวกในช่วงเช้า และต่อมาก็ปรับตัวมาอยู่ในแดนลบ ดังนั้น จึงมองตลาดฯช่วงนี้คงเป็นขาลง เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมไม่ดี ไม่มีอะไรบวก ทั้งปัจจัยในประเทศในเรื่องของการเมืองก็กดดัน"นายอนุพนธ์ กล่าว
ส่วน ตลาดต่างประเทศช่วงนี้ก็ติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งข้อมูลที่ออกมาอาจเป็นได้ทั้งบวก-ลบ แต่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ โดยมีปัจจัยถ่วงจากที่จีนใช้มาตรการควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้นจีน, ฮ่องกง
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(21 ม.ค.) ภาพโดยรวมของตลาดฯยังคงผันผวนอยู่ พร้อมให้ติดตามตลาดสหรัฐฯและยุโรป ถ้าวันนี้ปัจจัยในภูมิภาคไม่มีอะไรเปลี่ยนทิศทางตลาดฯก็น่าจะยังเป็นลบอยู่ พร้อมให้แนวรับ 720,723 จุด แนวต้าน 740 จุด
**ผู้จัดกองทุนให้หุ้นไทยปีนี้800จุด
นายประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา(AYS)เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 53 คาดว่าดัชนีจะแกว่งที่ระดับ 600-800 กว่าจุด ส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อสร้างแรงกดดันรัฐบาลนั้น ช่วงนี้ต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่การตัดสินของศาลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ต้องรอว่าสุดท้ายแล้วคำตัดสินของศาลจะเป็นอย่างไร และถ้าตัดสินมีผลตัดสินแล้วถือว่ายุติไปได้เรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเมืองที่ขับเคลื่อนอยู่ขณะนี้ ยังมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน
ปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้ คือ ปัจจัยการเมือง การจัดการปัญหาที่มาบตาพุดต้องให้ยุติโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้เริ่มมีความคาดหวังแล้ว หากแก้ไขได้เร็วจะเป็นผลดี ขณะที่การเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3จี ที่รอมา 3 ปีแล้ว ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสรุปได้เมื่อไร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกสำคัญยังอยู่ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้เอง สัญญาณการฟื้นตัวเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกตามออเดอร์ นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเองก็เริ่มฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ด้านนางสาวแจส ลิม รองผู้อำนวยการสายบุคคลธนกิจ ส่วนเงินฝากและการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า ซิตี้กรุ๊ปได้ปรับประมาณการณ์ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ใหม่จากเดิที่คาดว่าจะอยู่ที่ 740 จุด เป็น 840 จุดแทน โดยมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและเศรษฐกิจโลก จะเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะขับเคลื่อนหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์