บล.กรุงศรีอยุธยา คาดปี 52 กำไรสุทธิรวมบจ.เพิ่มขึ้น 36% อยู่ที่4.27แสนล้านบาท จากปี 2551 เหตุ เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น- หุ้นกลุ่มพลังงานไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน พร้อมคาดกำไรสุทธิปีนี้ อยู่ที่ 4.78 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นปีนี้ ลดลงจากปีก่อนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก ดันภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้สูงขึ้นแต่ผันผวนสูง เตือนระวังหุ้นจะปรับตัวลดลง 20-30%ช่วงปลายไตรมาส1/53 แนะนักลงทุนขายทำกำไรหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552 อยู่ที่ 427,823 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 36.1% จากปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 314,271 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นกลุ่มพลังงานมีกำไรอสูงสุดอยู่ที่ 173,075 ล้านบาทจากที่ปีนี้ไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน จึงทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 95% ขณะที่ปีก่อนที่มีกำไรสุทธิลดลง54.9% ด้านหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 83,082 ล้านบาท ลดลง0.3%จากปี 2551
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนปี 2553 จะอยู่ที่ 478,756 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.9% จากปี2552 จากการที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งบริษัทคาดว่าจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.5-3.5% โดยจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ บจ.ส่วนใหญ่มีการเติบโตดีในปีนี้ โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่มธนาคาร ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงแรม โรงพยาบาล พลังงาน และปิโตรเคมีขนส่ง ยกเว้นหุ้นกลุ่มการเงินและหลักทรัพย์ และเกษตร
สำหรับผลตอบการลงทุนในหุ้นปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปี 2552 เนื่องจาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว มาอยู่ที่ระดับ740 จุด แต่เชื่อว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสปรับตัวแตะที่ระดับ 800 จุด จากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศยังถือครองหุ้นไทยไม่มาก
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กดดันคือเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่ กรณีมาบตาพุด อัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด จากอัตราเงินเฟ้อที่จะมีการสูงขึ้น จึงทำให้เมื่อดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในไตรมาส1/52 จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงปลายไตรมาส1/53ถึงต้นไตรมาส2/53ทำให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 20-30% จากจุดสูงสุดของดัชนี ซึ่งการพักฐานของดัชนีจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ไตรมาส ทำให้ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส4/53
ดังนั้นบริษัทจึงแนะนำนักลงทุนให้มีการทอยอยขายทำกำไรหุ้นออกมาก่อนที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส1/53 และจากการที่ดัชนีจะมีโอกาสทำจุดสูงสุดอีกครั้งในไตรมาส4/53 จึงแนะนำให้นักลงทุนมีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักจากที่จะได้รับผลดีจากความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
**หุ้นวานนี้เพิ่มขึ้น2.68จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้(14ม.ค.) ปิด 749.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.68 จุด หรือ 0.36%มูลค่าการซื้อขาย 21,576.30 ล้านบาท จากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานที่ได้รับผลดีด้านจิตวิทยาจากปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย และการเก็งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมาดี โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 751.93 จุด และต่ำสุดที่ 747.94 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 171 หลักทรัพย์ ลดลง 160 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 136 หลักทรัพย์
ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า วานนี้การซื้อขายหุ้นไทยทั้งวันอยู่ในแดนบวกถือว่าได้อานิสงส์จากการที่ตลาดดาวน์โจนบวกขึ้นมา โดยตลาดหุ้นประคองตัวจากแรงซื้อหุ้นแบงก์ อย่าง BBL และ TCAP แม้หุ้นแบงก์บางตัวจะปรับตัวลดลง นอกจากนั้น ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีแนวโน้มปัญหามาบตาพุดคลี่คลายลงหลังจากนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ออกมาระบุว่ากรณีปัญหามาบตาพุดน่าจะได้ข้อสรุปภาย 8 เดือน ทำให้ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้หุ้น PTTAR และ PTTCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดดีขึ้นและปิดตลาดบวกได้ ประกอบกับ ยังมีการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอื่นที่คาดว่าจะออกมาดี ซึ่งวันนี้(15ม.ค.)คาดว่าดัชนีหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 742 จุด แนวต้าน 758 จุด
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552 อยู่ที่ 427,823 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 36.1% จากปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 314,271 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นกลุ่มพลังงานมีกำไรอสูงสุดอยู่ที่ 173,075 ล้านบาทจากที่ปีนี้ไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน จึงทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 95% ขณะที่ปีก่อนที่มีกำไรสุทธิลดลง54.9% ด้านหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 83,082 ล้านบาท ลดลง0.3%จากปี 2551
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนปี 2553 จะอยู่ที่ 478,756 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.9% จากปี2552 จากการที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งบริษัทคาดว่าจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.5-3.5% โดยจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ บจ.ส่วนใหญ่มีการเติบโตดีในปีนี้ โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่มธนาคาร ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงแรม โรงพยาบาล พลังงาน และปิโตรเคมีขนส่ง ยกเว้นหุ้นกลุ่มการเงินและหลักทรัพย์ และเกษตร
สำหรับผลตอบการลงทุนในหุ้นปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปี 2552 เนื่องจาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว มาอยู่ที่ระดับ740 จุด แต่เชื่อว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสปรับตัวแตะที่ระดับ 800 จุด จากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศยังถือครองหุ้นไทยไม่มาก
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กดดันคือเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่ กรณีมาบตาพุด อัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด จากอัตราเงินเฟ้อที่จะมีการสูงขึ้น จึงทำให้เมื่อดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในไตรมาส1/52 จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงปลายไตรมาส1/53ถึงต้นไตรมาส2/53ทำให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 20-30% จากจุดสูงสุดของดัชนี ซึ่งการพักฐานของดัชนีจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ไตรมาส ทำให้ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส4/53
ดังนั้นบริษัทจึงแนะนำนักลงทุนให้มีการทอยอยขายทำกำไรหุ้นออกมาก่อนที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส1/53 และจากการที่ดัชนีจะมีโอกาสทำจุดสูงสุดอีกครั้งในไตรมาส4/53 จึงแนะนำให้นักลงทุนมีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักจากที่จะได้รับผลดีจากความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
**หุ้นวานนี้เพิ่มขึ้น2.68จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้(14ม.ค.) ปิด 749.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.68 จุด หรือ 0.36%มูลค่าการซื้อขาย 21,576.30 ล้านบาท จากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานที่ได้รับผลดีด้านจิตวิทยาจากปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย และการเก็งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมาดี โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 751.93 จุด และต่ำสุดที่ 747.94 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 171 หลักทรัพย์ ลดลง 160 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 136 หลักทรัพย์
ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า วานนี้การซื้อขายหุ้นไทยทั้งวันอยู่ในแดนบวกถือว่าได้อานิสงส์จากการที่ตลาดดาวน์โจนบวกขึ้นมา โดยตลาดหุ้นประคองตัวจากแรงซื้อหุ้นแบงก์ อย่าง BBL และ TCAP แม้หุ้นแบงก์บางตัวจะปรับตัวลดลง นอกจากนั้น ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีแนวโน้มปัญหามาบตาพุดคลี่คลายลงหลังจากนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ออกมาระบุว่ากรณีปัญหามาบตาพุดน่าจะได้ข้อสรุปภาย 8 เดือน ทำให้ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้หุ้น PTTAR และ PTTCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดดีขึ้นและปิดตลาดบวกได้ ประกอบกับ ยังมีการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอื่นที่คาดว่าจะออกมาดี ซึ่งวันนี้(15ม.ค.)คาดว่าดัชนีหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 742 จุด แนวต้าน 758 จุด