รมว.คลัง ประกาศนโยบายปี 53 ใช้กลยุทธ์ "ฝนตกทั่วฟ้า" เดินหน้า 17 งานสำคัญ ปูโครงสร้าง ศก.แข็งแกร่ง
นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงนโยบายการดำเนินงานในปี 2553 โดยประกาศใช้กลยุทธ์ "ฝนตกทั่วฟ้า" ซึ่งรัฐบาลเตรียมแผนการส่งเสริมภาคธุรกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐผ่านนโยบาย 17 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งในปี 2552 มีลูกหนี้ลงทะเบียนกว่า 9.6 แสนคน คิดเป็นมูลหนี้ 1.02 แสนล้านบาท และได้ต่อเวลาลงทะเบียนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2553 ขณะนี้ได้เริ่มกระบวนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่าจะสามารถอนุมัติเงินให้กับผู้เข้าโครงการได้ภายในเดือนมกราคม 2553 เร็วกว่ากำหนดเดิมในเดือนมีนาคม 2553
2.แผนพัฒนาตลาดเงินในระยะที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการการกำกับการดูแลการปฏิบัติงานตามแผนพัฒนาตลาดเงิน ระยะที่ 2 เมื่อนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการแล้วจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด ประกอบด้วย อนุมกรรมการด้านภาษี ด่านกฎหมาย ระบบข้อมูล และบุคลากร
3.แผนพัฒนาตลาดทุน , 4.การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ คาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ปลายปี 2553 รองรับแรงงานนอกระบบ ให้สามารถออมเงินรายได้กับรัฐบาลสูงสุด 100 บาท โดยรัฐบาลประกันเงินต้นและผลตอบแทน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจร่าง พ.ร.บ.ของคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเข้าสู่กระบวยการออกกฎหมาย
5.การเพิ่มบทบาทภาคชนลงทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP เพื่อเพิ่มแนวทางการลงทุน โครงการของรัฐบาล ลดภาระงบประมาณ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กระจายรายได้ และสร้างงาน
6.การจัดตั้งไมโครไฟแนนซ์ เพื่อเป็นแหล่งสินเชื่อสำหรับประชาชนระดับฐานรากที่เหมาะสมและเข้าถึงง่าย และปัญหาหนี้นอกระบบ ขณะนี้มีธนาคารออมสิน ซึ่งปัจจุบันมีโครงการธนาคารประชาชน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ที่มีแนวคิดจัดตั้งธนาคารชุมชน เพื่อพัฒนาสินเชื่อที่เหมาะสม จะมีการจัดตั้งองค์กรอิสระแยกจากธนาคารแม่ คาดจะมีความชัดเจนภายในปี 2553
7.การควบคุมบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยจะมีการออก พ.ร.บ.บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ควบคุมการดำเนินธุรกิจเพื่อกำกับดูแลผู้ประกอบการและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค , 8.การออก พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ที่เป็นธรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ รมว.คลัง ในเรื่องของขอบเขต และโครงสร้างกำกับดูแล ก่อนเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภา
9.การออก พ.ร.บ.การอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจนำทรัพย์สินมาเป็๋นหลักประกัน ซึ่งได้ผ่านความเห็นขอบจาก ครม.แล้ว อยู่ระหว่างการตรวจร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา , 10.การออก พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อทดแทนการเก็บภาษีโรงเรือนและ ภาษีบำรุงท้องที่ เตรียมเสนอข้าครม.ในอีก 1 เดือนข้างหน้า
11.การแก้ไขปฏิรูปเภาษีของกรมศุลกากรเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการ ง่ายต่อการอุทธรณ์ต่อศาล และเพื่อลดความไม่พึงพอใจของผู้ประกอบการในใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร , 12.การปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยเพื่อให้แข่งขันสิงคโปร์ได้
13.ปฏิบัติการโครงการไทยเข้มแช็ง โดยกำหนดว่าวงเงินลงทุนแรกในปี 2553 จำนวน 2 แสนล้านบาทจะนำไปสู่การทำสัญญาได้ครบถ้วนภายในปี 2553 และอีก 1.5 แสนล้านบาทที่เหลือจะลงนามในสัญญาภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 ซึ่งได้กำหนดว่าภายในปี 2553 คาดว่าจะเบิกจ่ายเงินลงทุนได้ 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2% ของจีดีพี
14.Modernization กรมสรรพสามิต โดยการวางนโยบายและแนวมทางการเก็บภาษีสรรพสามิต และเตรียมเสนอร่างแก้ไขกฎหมายกรมสรรพสามิต ภายในเดือนเมษายน 2553 , 15.Micro Insurance โดยการผลักดันการประกันภัยราคาประหยัดออกสู่ตลาดในระดับฐานราก โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนผู้ถือครองกรมธรรม์คนไทยเป็น 50% หรือคิดเป็น 30 ล้านคนภายใน 3-5 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% หรือ 15 ล้านคน
16.การพัฒนาการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยระบบอิเล็คทรอนิกส์ และสุดท้าย 17.การมีจริยธรรมในการกระทรวงการคลัง โดยเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังจะออกประกาศและลงสัตยาบันเพื่อสร้างธรรมาภิบาลและยกระดับจริยธรรม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังทั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำเพื่อกำจัดผลประโยชน์ทับซ้อนและการใช้อำนาจโดยไม่ควร เริ่มมีผลบังคับใช้ 31 มกราคม 2553