บอรด์ กบข. แต่งตั้ง "โสภาวดี" นั่งเก้าอี้เลขาฯ คนใหม่ตามคาด กำหนดกรอบเข้ม ห้ามถือหุ้นรายตัวที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เจ้าตัวไม่หนักใจ แจงมีเพียงพอร์ตกองทุนรวมเท่านั้น มั่นใจผลงานที่ผ่านมา เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนได้ ล่าสุด ผลประกอบการรอบ 1 ปี พุ่ง 8.71% หรือกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า คณะกรรมการ กบข. มีมติแต่งตั้งนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการสายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เข้ามาดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. คนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าจะเข้ามาช่วยสานต่อภารกิจ กบข. ในการสร้างหลักประกันในวัยเกษียณให้กับข้าราชการสมาชิกที่มีกว่า 1.18 ล้านคนทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ได้กำหนดกรอบการถือหุ้นของเลขาธิการคนใหม่เอาไว้ว่า ห้ามมีการถือหุ้นรายตัวที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เปิดช่องให้สามารถถือหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้วก่อนเข้ารับตำแหน่งต่อไปได้ เพื่อความยุติธรรม
ในเรื่องนี้ นางสาวโสภาวดี เปิดเผยว่า ในส่วนนี้ไม่หนักใจแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่มีการลงทุนในหุ้นรายตัวอยู่แล้ว จะมีก็เพียงการลงทุนในกองทุนรวมเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้ภายใน 15 วัน คงต้องรายงานการลงทุนในส่วนนี้ให้คณะกรรมการ กบข.ทราบตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนการเรียกความเชื่อมั่นของกบข. กลับมานั้น นางสาวโสภาวดีกล่าวว่า ก่อนอื่นต้องยึดผลประโยชน์ของสมาชิกเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุด แต่หลังจากนี้ คงต้องขอเวลาไปทำความเข้าใจองค์กรก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องของความเชื่อมั่นนั้น ส่วนตัวมั่นใจว่าตนเองเป็นคนตรง มีความโปร่งใส และยึดถือความถูกต้องมาโดยตลอดอยู่แล้ว
**ผลงานรอบ1ปีกำไรพุ่งกว่า 2.7 หมื่นล้าน
สำหรับผลการดำเนินงานของ กบข. ตลอดปี 2552 นายสถิตย์กล่าวว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึง 24 ธันวาคม 2552 (งบยังไม่ได้ตรวจสอบ) การลงทุนของ กบข. สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ถึงร้อยละ 8.71 หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 27,533.93 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิส่วนของเงินสมาชิก (ไม่รวมเงินสำรอง) จำนวนทั้งสิ้น 333,929.19 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ผลประกอบการของ กบข. ปรับตัวดีขึ้นนั้น มาจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น จาก 449.96 จุด ณ สิ้นปี 2551 เป็น 730.41 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 62.33 ณ สิ้นปี 2552 หลังจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ประกอบกับรัฐบาลทั่วโลกได้ใช้นโยบายการเงิน การคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น
ส่วนเศรษฐกิจไทยก็มีสัญญาณดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยการส่งออกมีออเดอร์มากขึ้น การผลิตเริ่มดีขึ้น ภาวะการจ้างงานรวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยภาพรวมแล้วถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นก็มีแนวโน้มที่สดใสตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยดูจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้น คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันของ กบข. (24 ธ.ค.52) ประกอบด้วย ตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ร้อยละ 69.49 ตราสารหนี้ต่างประเทศร้อยละ 4.21 อสังหาริมทรัพย์ไทยร้อยละ 4.08 การลงทุนทางเลือกอื่น ๆ ร้อยละ 3.62 ตราสารทุนไทยร้อยละ 9.22 ตราสารทุนต่างประเทศร้อยละ 9.38 ซึ่งถือเป็นการลงทุนส่วนใหญ่ในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคง
ในขณะเดียวกันหากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 3 ปี (ธ.ค.49-พ.ย.52) ร้อยละ 2.99 ย้อนหลัง 5 ปี (ธ.ค.47-พ.ย.52) ร้อยละ 4.39 และย้อนหลัง 12 ปี (มี.ค.40-พ.ย.52) ร้อยละ 7.12
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า คณะกรรมการ กบข. มีมติแต่งตั้งนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการสายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เข้ามาดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. คนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าจะเข้ามาช่วยสานต่อภารกิจ กบข. ในการสร้างหลักประกันในวัยเกษียณให้กับข้าราชการสมาชิกที่มีกว่า 1.18 ล้านคนทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ได้กำหนดกรอบการถือหุ้นของเลขาธิการคนใหม่เอาไว้ว่า ห้ามมีการถือหุ้นรายตัวที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เปิดช่องให้สามารถถือหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้วก่อนเข้ารับตำแหน่งต่อไปได้ เพื่อความยุติธรรม
ในเรื่องนี้ นางสาวโสภาวดี เปิดเผยว่า ในส่วนนี้ไม่หนักใจแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่มีการลงทุนในหุ้นรายตัวอยู่แล้ว จะมีก็เพียงการลงทุนในกองทุนรวมเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้ภายใน 15 วัน คงต้องรายงานการลงทุนในส่วนนี้ให้คณะกรรมการ กบข.ทราบตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนการเรียกความเชื่อมั่นของกบข. กลับมานั้น นางสาวโสภาวดีกล่าวว่า ก่อนอื่นต้องยึดผลประโยชน์ของสมาชิกเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุด แต่หลังจากนี้ คงต้องขอเวลาไปทำความเข้าใจองค์กรก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องของความเชื่อมั่นนั้น ส่วนตัวมั่นใจว่าตนเองเป็นคนตรง มีความโปร่งใส และยึดถือความถูกต้องมาโดยตลอดอยู่แล้ว
**ผลงานรอบ1ปีกำไรพุ่งกว่า 2.7 หมื่นล้าน
สำหรับผลการดำเนินงานของ กบข. ตลอดปี 2552 นายสถิตย์กล่าวว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึง 24 ธันวาคม 2552 (งบยังไม่ได้ตรวจสอบ) การลงทุนของ กบข. สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ถึงร้อยละ 8.71 หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 27,533.93 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิส่วนของเงินสมาชิก (ไม่รวมเงินสำรอง) จำนวนทั้งสิ้น 333,929.19 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ผลประกอบการของ กบข. ปรับตัวดีขึ้นนั้น มาจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น จาก 449.96 จุด ณ สิ้นปี 2551 เป็น 730.41 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 62.33 ณ สิ้นปี 2552 หลังจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ประกอบกับรัฐบาลทั่วโลกได้ใช้นโยบายการเงิน การคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น
ส่วนเศรษฐกิจไทยก็มีสัญญาณดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยการส่งออกมีออเดอร์มากขึ้น การผลิตเริ่มดีขึ้น ภาวะการจ้างงานรวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยภาพรวมแล้วถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นก็มีแนวโน้มที่สดใสตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยดูจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้น คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันของ กบข. (24 ธ.ค.52) ประกอบด้วย ตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ร้อยละ 69.49 ตราสารหนี้ต่างประเทศร้อยละ 4.21 อสังหาริมทรัพย์ไทยร้อยละ 4.08 การลงทุนทางเลือกอื่น ๆ ร้อยละ 3.62 ตราสารทุนไทยร้อยละ 9.22 ตราสารทุนต่างประเทศร้อยละ 9.38 ซึ่งถือเป็นการลงทุนส่วนใหญ่ในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคง
ในขณะเดียวกันหากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 3 ปี (ธ.ค.49-พ.ย.52) ร้อยละ 2.99 ย้อนหลัง 5 ปี (ธ.ค.47-พ.ย.52) ร้อยละ 4.39 และย้อนหลัง 12 ปี (มี.ค.40-พ.ย.52) ร้อยละ 7.12