หุ้น "สตีล อินเตอร์เทค" พุ่งแรง 344% แรงตามข่าวควบรวม "โซล่า เพาเวอร์" ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกโรงเตือนนักลงทุน ระมัดระวังการลงทุนหลังราคาหุ้นขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐาน พร้อมขอข้อมูลการซื้อขายไปยังโบรกเกอร์ 10 แห่ง และสั่งดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้บริหารแจ้ง แผนการควบรวมยังไม่มีความแน่นอน-อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไป
ความเคลื่อนไหวหุ้นบริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน)หรือ STEELวานนี้ (11 ม.ค.)ปิดที่ 8.80 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29.41% จากวันก่อนหน้าที่ 6.80 บาท นับจากมีกระแสข่าวที่จะมีการควบรวมกิจการกับ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ทำให้ราคาหุ้นสตีลปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1.98 บาทต่อหุ้น ณ ราคาปิดวันที่ 23 ธันวาคม มาอยู่ที่ 8.80 บาท ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.82 บาท หรือเพิ่มขึ้น 344%
แหล่งข่าวจากฝ่ายกำกับการซื้อขาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ราคาหุ้น บมจ. สตีล อินเตอร์เทคได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการขอข้อมูลการซื้อขายหุ้นSTEELกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 10 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการกำชับให้แต่ละ บล.มีการดูแลลูกค้าในการลงทุนหุ้น โดยให้มีการป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้น STEEL ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เตือนให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนหุ้นดังกล่าว
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สตีล อินเตอร์เทค ได้ชี้แจงกรณีที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการการควบรวมกิจการกับบริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ว่า ขณะนี้ทั้งสองบริษัท จะมีประชุมร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน ( FA ) คือ บล. เคที ซีมิโก้ และ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ( IFA) คือ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อทำตรวจสอบสถานะทางการเงิน ( Due Diligence ต่อไป
"ขณะนี้ทางบริษัทฯ ยังไม่มีพัฒนาการอื่นใดที่จะมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ รวมถึงแผนการควบรวมดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไป"
นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวถึงหุ้น STEEL ว่า โดยปกติหุ้นดังกล่าวจะไม่มีสภาพคล่อง ซื่งการปรับตัวขึ้นในรอบนี้ก็ถือว่าขึ้นมาเร็วโดยเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ดังนั้นนักลงทุนควรจะระมัดระวังการเล่นให้ดี และไม่มีคำแนะนำให้ลงทุน
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของSTEEL ระบุว่า กระบวนการควบรวมกิจการกับ โซลาร์ เพาเวอร์ จะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้โดยหลังจากนี้จะมีการหารือกับที่ปรึกษาการเงิน (FA)เพื่อทำ ดิวดิลิเจนซ์ และในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อเสนอคณะกรรมการ STEEL เพื่อขออนุมัติ ซึ่งจะใช้วิธีสวอปหุ้นระหว่าง STEEL กับ โซล่าร์ เพาเวอร์ ส่วนจะใช้สัดส่วนเท่าไรยังไม่ได้ข้อสรุป แต่อย่างไรก็ตามหลังจากสวอปหุ้นแล้ว บริษัทโซลาร์ เพาเวอร์ จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และธุรกิจหลักจะมาจากธุรกิจพลังงาน ทั้งโซลาร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนธุรกิจเดิมของ STEEL ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอโดยในปี 2553 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 2552
อย่างไรก็ตาม เมื่อการควบรวมกิจการแล้วเสร็จมีการคาดการณ์ว่า จะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของSTEELโดยเริ่มจากออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP) 350 ล้านหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของโซล่าเพาเวอร์ และกลายเป็นผู้ถือใหญ่ จากนั้นก็จะทำเทนเดอร์(แบ็กดอร์) ขณะเดียวกัน STEELก็จะเอาเงินที่ได้จาการขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นไปซื้อบริษัทโซล่าเซล เพื่อให้เป็นบริษัทลูก โดยจุดนี้จะทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้รับผลกระทบจากปรับตัวลดลงของเพิ่มทุน(ไดลูทชั่น เอฟเฟ็กต์) มากถึง 90%เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นของ STEEL ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 50 ล้านหุ้น
ความเคลื่อนไหวหุ้นบริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน)หรือ STEELวานนี้ (11 ม.ค.)ปิดที่ 8.80 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29.41% จากวันก่อนหน้าที่ 6.80 บาท นับจากมีกระแสข่าวที่จะมีการควบรวมกิจการกับ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ทำให้ราคาหุ้นสตีลปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1.98 บาทต่อหุ้น ณ ราคาปิดวันที่ 23 ธันวาคม มาอยู่ที่ 8.80 บาท ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.82 บาท หรือเพิ่มขึ้น 344%
แหล่งข่าวจากฝ่ายกำกับการซื้อขาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ราคาหุ้น บมจ. สตีล อินเตอร์เทคได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการขอข้อมูลการซื้อขายหุ้นSTEELกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 10 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการกำชับให้แต่ละ บล.มีการดูแลลูกค้าในการลงทุนหุ้น โดยให้มีการป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้น STEEL ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เตือนให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนหุ้นดังกล่าว
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สตีล อินเตอร์เทค ได้ชี้แจงกรณีที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการการควบรวมกิจการกับบริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ว่า ขณะนี้ทั้งสองบริษัท จะมีประชุมร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน ( FA ) คือ บล. เคที ซีมิโก้ และ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ( IFA) คือ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อทำตรวจสอบสถานะทางการเงิน ( Due Diligence ต่อไป
"ขณะนี้ทางบริษัทฯ ยังไม่มีพัฒนาการอื่นใดที่จะมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ รวมถึงแผนการควบรวมดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไป"
นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวถึงหุ้น STEEL ว่า โดยปกติหุ้นดังกล่าวจะไม่มีสภาพคล่อง ซื่งการปรับตัวขึ้นในรอบนี้ก็ถือว่าขึ้นมาเร็วโดยเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ดังนั้นนักลงทุนควรจะระมัดระวังการเล่นให้ดี และไม่มีคำแนะนำให้ลงทุน
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของSTEEL ระบุว่า กระบวนการควบรวมกิจการกับ โซลาร์ เพาเวอร์ จะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้โดยหลังจากนี้จะมีการหารือกับที่ปรึกษาการเงิน (FA)เพื่อทำ ดิวดิลิเจนซ์ และในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อเสนอคณะกรรมการ STEEL เพื่อขออนุมัติ ซึ่งจะใช้วิธีสวอปหุ้นระหว่าง STEEL กับ โซล่าร์ เพาเวอร์ ส่วนจะใช้สัดส่วนเท่าไรยังไม่ได้ข้อสรุป แต่อย่างไรก็ตามหลังจากสวอปหุ้นแล้ว บริษัทโซลาร์ เพาเวอร์ จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และธุรกิจหลักจะมาจากธุรกิจพลังงาน ทั้งโซลาร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนธุรกิจเดิมของ STEEL ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอโดยในปี 2553 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 2552
อย่างไรก็ตาม เมื่อการควบรวมกิจการแล้วเสร็จมีการคาดการณ์ว่า จะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของSTEELโดยเริ่มจากออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP) 350 ล้านหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของโซล่าเพาเวอร์ และกลายเป็นผู้ถือใหญ่ จากนั้นก็จะทำเทนเดอร์(แบ็กดอร์) ขณะเดียวกัน STEELก็จะเอาเงินที่ได้จาการขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นไปซื้อบริษัทโซล่าเซล เพื่อให้เป็นบริษัทลูก โดยจุดนี้จะทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้รับผลกระทบจากปรับตัวลดลงของเพิ่มทุน(ไดลูทชั่น เอฟเฟ็กต์) มากถึง 90%เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นของ STEEL ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 50 ล้านหุ้น