“ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” แก้มปริแบงก์รัฐ 6 แห่งปล่อยสินเชื่อทั้งปี 52 เข้าระบบกว่า 1.18 ล้านล้านบาท ถึงมือประชาชนถึง 5 ล้านคน ขับเคลื่อนจีดีพีโต 1.17%
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ(เอสเอฟไอ) ในการอำนวยสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยปี 52 ว่า ที่ประชุมมีมติให้ธนาคารของรัฐทั้ง 6 แห่งดำเนินโครงการปล่อยสินเชื่อฟาสต์แทร็คต่อไปอีก แต่ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารเองว่าจะทำโครงการดังกล่าวอย่างไร และวงเงินเท่าใด โดยที่ประชุมไม่ได้กำหนดเป้าหมายให้ ซึ่งรวมถึงการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดของเอสเอฟไอด้วย ที่จะไม่เร่งรัดให้ปล่อยสินเชื่อเหมือนช่วงปลายปี 52 ที่ผ่านมา โดยจะติดตามสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แบบเดือนต่อเดือน ว่ากลับมาอยู่ในภาวะปกติหรือยัง หากปกติแล้วก็ให้เอสเอฟไอทำงานตามปกติ
“ผมพอใจที่เอสเอสไอเข้ามาปล่อยสินเชื่อได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ถือว่าประสบความสำเร็จในการช่วยประคองเศรษฐกิจไว้ในยามวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีโตขึ้น 0.17% โดยปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบได้ถึง 26% จากปกติ 6% เท่านั้น แต่ทั้งนี้ไม่อยากให้ไปแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ ถ้าไม่จำเป็น เพราะนอกจากมีธนาคารพาณิชย์ที่รัฐถือหุ้นอยู่ 3 แห่งแล้ว เอสเอฟไอถือเป็นธนาคารพิเศษ ไม่ควรใช้ตลอดไป ให้ใช้ในยามพิเศษ ยามจำเป็น ยามไม่ปกติเท่านั้น”
ทั้งนี้เอสเอสไอทั้ง 6 แห่งปล่อยสินเชื่อรวมได้ 1.186 ล้านล้านบาท คิดเป็น 127.98% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 9.27 แสนล้านบาท โดยเบิกจ่ายเงินแล้ว 1.096 ล้านล้านบาท มีผู้ได้รับผลประโยชน์ 5.034 ล้านราย ขณะที่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 9.6% เท่านั้น แบ่งเป็นธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อได้ 4.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 191.41% ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อได้ 4.55 แสนล้านบาท คิดเป็น 96.82% ซึ่งเพียง 2 แห่งมีการปล่อยสินเชื่อวงเงินสูงกว่า 9.19 แสนล้านบาท
ด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยสินเชื่อได้ 1.30 แสนล้านบาท คิดเป็น 130.13% ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ปล่อยสินเชื่อได้ 5.42 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 145.96% ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ปล่อยสินเชื่อได้ 3.37 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 77.62% ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ปล่อยสินเชื่อได้ 4.88 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 144.82% และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อทั้งสิ้น 2.13 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น71.30% ของเป้าหมาย
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ(เอสเอฟไอ) ในการอำนวยสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยปี 52 ว่า ที่ประชุมมีมติให้ธนาคารของรัฐทั้ง 6 แห่งดำเนินโครงการปล่อยสินเชื่อฟาสต์แทร็คต่อไปอีก แต่ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารเองว่าจะทำโครงการดังกล่าวอย่างไร และวงเงินเท่าใด โดยที่ประชุมไม่ได้กำหนดเป้าหมายให้ ซึ่งรวมถึงการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดของเอสเอฟไอด้วย ที่จะไม่เร่งรัดให้ปล่อยสินเชื่อเหมือนช่วงปลายปี 52 ที่ผ่านมา โดยจะติดตามสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แบบเดือนต่อเดือน ว่ากลับมาอยู่ในภาวะปกติหรือยัง หากปกติแล้วก็ให้เอสเอฟไอทำงานตามปกติ
“ผมพอใจที่เอสเอสไอเข้ามาปล่อยสินเชื่อได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ถือว่าประสบความสำเร็จในการช่วยประคองเศรษฐกิจไว้ในยามวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีโตขึ้น 0.17% โดยปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบได้ถึง 26% จากปกติ 6% เท่านั้น แต่ทั้งนี้ไม่อยากให้ไปแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ ถ้าไม่จำเป็น เพราะนอกจากมีธนาคารพาณิชย์ที่รัฐถือหุ้นอยู่ 3 แห่งแล้ว เอสเอฟไอถือเป็นธนาคารพิเศษ ไม่ควรใช้ตลอดไป ให้ใช้ในยามพิเศษ ยามจำเป็น ยามไม่ปกติเท่านั้น”
ทั้งนี้เอสเอสไอทั้ง 6 แห่งปล่อยสินเชื่อรวมได้ 1.186 ล้านล้านบาท คิดเป็น 127.98% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 9.27 แสนล้านบาท โดยเบิกจ่ายเงินแล้ว 1.096 ล้านล้านบาท มีผู้ได้รับผลประโยชน์ 5.034 ล้านราย ขณะที่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 9.6% เท่านั้น แบ่งเป็นธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อได้ 4.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 191.41% ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อได้ 4.55 แสนล้านบาท คิดเป็น 96.82% ซึ่งเพียง 2 แห่งมีการปล่อยสินเชื่อวงเงินสูงกว่า 9.19 แสนล้านบาท
ด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยสินเชื่อได้ 1.30 แสนล้านบาท คิดเป็น 130.13% ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ปล่อยสินเชื่อได้ 5.42 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 145.96% ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ปล่อยสินเชื่อได้ 3.37 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 77.62% ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ปล่อยสินเชื่อได้ 4.88 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 144.82% และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อทั้งสิ้น 2.13 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น71.30% ของเป้าหมาย
