ลีสซิ่งกสิกรไทยเปิดแผนปีที่ 5 ตั้งเป้ายอดสินเชื่อใหม่ปี 53 เพิ่มจาก 12% เน้นบุกตลาดรถอีโคคาร์ ขยายยอดสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่งรถยนต์และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มูลค่ารวมกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท ไม่สนซื้อพอร์ตเข้ามาบริหารเอง มองเสี่ยงสูง ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีหน้าคาดโต 7-11% หลังภาวะเศรษฐกิจไทยและเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตาม
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อ/ลีสซิ่งรถยนต์และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 12% คิดเป็นเม็ดเงินที่ปล่อยใหม่ประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยขยายตัวผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กสิกรไทย (K-Auto Finance) สินเชื่อรถยนต์เพื่อเงินสดกสิกรไทย (K-CAR to CASH) สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงินกสิกรไทย (K-Financial Lease) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 25,180 ล้านบาท และการเพิ่มยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถ ผ่านบริการสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (K-Dealer Floorplan)อีก 8,782 ล้านบาท
ในขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ตั้งเป้าฐานสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์คงค้างสุทธิเพิ่มขึ้น 21% ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างดังกล่าวในสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 52,000-53,000 ล้านบาท สำหรับยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งไม่รวมเช่าซื้อและลีสซิ่งจะอยู่ที่ 47,050 คัน ในขณะที่จำนวนบัญชีลูกค้าจะเพิ่มเป็น 145,493 บัญชี ส่วนเป้าหมายผลกำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตประมาณ 332 ล้านบาท
“บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย พร้อมที่จะก้าวสู่ปีที่ห้าอย่างแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยตนเองโดยการให้บริการแบบครบวงจร ภายใต้การทำงานแบบเครือธนาคารกสิกรไทย โดยที่ไม่มีแนวคิดจะซื้อพอร์ตธุรกิจจากใครเพื่อมาบริหารเองที่ผ่านมาตลอด 4 ปี บริษัทมีเราอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี บวกกับมีหลายบริษัทเสนอพอร์ตธุรกิจเข้ามาแต่เราก็ไม่สนใจที่จะซื้อ เพราะเรามองว่ามีความเสี่ยงมาก ซึ่งในปีหน้าเราจะเน้นไปที่รถยนต์ประเภทอีโคคาร์ (รถยนต์ราคาประหยัด)มากขึ้น ให้กับนักศึกษาที่กำลังจบและเริ่มทำงานโดยการให้ผู้ปกครองเป็นผู้ค้ำประกัน เนื่องจากโอกาสที่จะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)มีน้อย” นายอิสระ กล่าว
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยในปีหน้าศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะมียอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะขยายตัว 7 – 11 % หรืออยู่ที่ 570,000-590,000 คัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นและกำลังของผู้บริโภคกลับฟื้นคืนขึ้นมาภายในปีหน้า และจะเป็นการสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจของลิสซิ่งกสิกรไทยได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศอีกด้วยด้านตลาดรถ จากการที่ไตรมาส 4 ของปีนี้มียอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์เอกซ์โปเพิ่มขึ้นกว่า 25,000 คัน จาหชกเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 5,000 คัน
นายอิสระยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดปล่อยสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ประมาณ 12.60% คิดเป็นเม็ดเงินปล่อยใหม่อยู่ที่ 27,400 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งจำนวน 20,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 13% ขณะที่ทิศทาง ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 11.88 % และต่ำกว่าเป้าหมาย 23 % ซึ่งก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว และสอดคล้องกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการหดตัวลงดังกล่าว สำหรับยอดสินเชื่อคงค้าง ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 42,300 ล้านบาท มีเอ็นพีแอลอยู่เพียง 1.60% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อ/ลีสซิ่งรถยนต์และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 12% คิดเป็นเม็ดเงินที่ปล่อยใหม่ประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยขยายตัวผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กสิกรไทย (K-Auto Finance) สินเชื่อรถยนต์เพื่อเงินสดกสิกรไทย (K-CAR to CASH) สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงินกสิกรไทย (K-Financial Lease) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 25,180 ล้านบาท และการเพิ่มยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถ ผ่านบริการสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (K-Dealer Floorplan)อีก 8,782 ล้านบาท
ในขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ตั้งเป้าฐานสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์คงค้างสุทธิเพิ่มขึ้น 21% ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างดังกล่าวในสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 52,000-53,000 ล้านบาท สำหรับยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งไม่รวมเช่าซื้อและลีสซิ่งจะอยู่ที่ 47,050 คัน ในขณะที่จำนวนบัญชีลูกค้าจะเพิ่มเป็น 145,493 บัญชี ส่วนเป้าหมายผลกำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตประมาณ 332 ล้านบาท
“บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย พร้อมที่จะก้าวสู่ปีที่ห้าอย่างแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยตนเองโดยการให้บริการแบบครบวงจร ภายใต้การทำงานแบบเครือธนาคารกสิกรไทย โดยที่ไม่มีแนวคิดจะซื้อพอร์ตธุรกิจจากใครเพื่อมาบริหารเองที่ผ่านมาตลอด 4 ปี บริษัทมีเราอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี บวกกับมีหลายบริษัทเสนอพอร์ตธุรกิจเข้ามาแต่เราก็ไม่สนใจที่จะซื้อ เพราะเรามองว่ามีความเสี่ยงมาก ซึ่งในปีหน้าเราจะเน้นไปที่รถยนต์ประเภทอีโคคาร์ (รถยนต์ราคาประหยัด)มากขึ้น ให้กับนักศึกษาที่กำลังจบและเริ่มทำงานโดยการให้ผู้ปกครองเป็นผู้ค้ำประกัน เนื่องจากโอกาสที่จะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)มีน้อย” นายอิสระ กล่าว
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยในปีหน้าศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะมียอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะขยายตัว 7 – 11 % หรืออยู่ที่ 570,000-590,000 คัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นและกำลังของผู้บริโภคกลับฟื้นคืนขึ้นมาภายในปีหน้า และจะเป็นการสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจของลิสซิ่งกสิกรไทยได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศอีกด้วยด้านตลาดรถ จากการที่ไตรมาส 4 ของปีนี้มียอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์เอกซ์โปเพิ่มขึ้นกว่า 25,000 คัน จาหชกเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 5,000 คัน
นายอิสระยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดปล่อยสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ประมาณ 12.60% คิดเป็นเม็ดเงินปล่อยใหม่อยู่ที่ 27,400 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งจำนวน 20,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 13% ขณะที่ทิศทาง ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 11.88 % และต่ำกว่าเป้าหมาย 23 % ซึ่งก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว และสอดคล้องกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการหดตัวลงดังกล่าว สำหรับยอดสินเชื่อคงค้าง ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 42,300 ล้านบาท มีเอ็นพีแอลอยู่เพียง 1.60% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำตลอด 4 ปีที่ผ่านมา