ปธ.หอการค้าฯ ห่วงปัญหามลพิษ "มาบตาพุด" ยืดเยื้อเกิน 1 ปี ฉุดการลงทุนหดตัวรุนแรง 5-10 ปี ชี้ภาพรวมผลกระทบ ต่างชาติขาดความมั่นใจการลงทุนในประเทศไทย ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่มูลค่า 40,000-50,000 ล้านบาท ต้องหายไป และอัตราการขยายตัวของ "จีดีพี" ทรุดตัวลงในอนาคต
นายดุสิต นนทนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีปัญหามลพิษในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา และสร้างความชัดเจนเรื่องการระงับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ภายใน 4-5 เดือน ตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เสนอ เพราะเกรงว่า หากยืดเยื้อเกิน 1 ปี จะมีผลกระทบรุนแรง ทำให้ต่างชาติขาดความมั่นใจการลงทุนในประเทศไทย ทำให้เม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่มูลค่า 40,000-50,000 ล้านบาทหายไป ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ของประเทศทรุดตัวลง ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
“ห่วงเศรษฐกิจไทยใน 10 ปีข้างหน้า หากนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจแล้วการลงทุนขนาดใหญ่ก็จะไม่เกิด เพราะไม่มีใครกล้ามาลงทุน ดังนั้น ต้องเร่งแก้ปัญหามาบตาพุดให้จบโดยเร็ว”
ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของเอกชนไทยอาจมีการย้ายการลงทุนเช่นกัน หากปัญหามาบตาพุดยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีการรวมตัวกันเป็นประชาอาคมอาเซียนที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนและแรงงานในอาเซียนอย่างเสรี ซึ่งจะทำให้นักลงทุนไทยหันไปลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศอาเซียนอื่นๆ แทน
นายดุสิต กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ยังมั่นใจว่าจะขยายตัวเนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้แล้ว ประกอบกับการลงทุนไทยเข้มแข็งจะเป็นตัวกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคให้ฟื้นตัวขึ้น
สำหรับการทำงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ที่มีการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ประธานหอการค้าฯ มองว่า น่าพอใจในระดับหนึ่ง โดยให้คะแนนการทำงานระดับ บี เพราะจะต้องรอดูผลจากโครงการไทยเข้มแข็งว่า จะมีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงทุนได้ตามที่คาดไว้หรือไม่