เผยแผนระยะยาวปี 4 อีสเทอร์นสตาร์ฯ เน้นเจาะตลาดคอนโดฯกลางเมืองราคาขายเฉลี่ย 70,000-90,000 บาทต่อ ตร.ม. พร้อมประกาศลงทุน 20-25 โครงการต่อเนื่องมูลค่าลงทุนกว่า20,000ล้านบาท คาดปี 54 พลิกฟื้นขาดทุนเป็นกำไร เล็งเจรจาร่วมทุนที่ดินระยะ 600 ไร่ ผุดโครงการใหม่หลังต้องชะลอแผนเหตุภาวะวิกฤตเศรษฐกิจกระทบกำลังซื้อ-ความเชื่อมั่นลูกค้าไม่เอื้อพัฒนาโครงการ
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการดำเนินธุระกิจในระยาว3-4 ปีว่า ในช่วง3ปีที่ผ่านมาบริษัทหยุดลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ เนื่องจาก
ภาวะตลาดไม่เอื้อฯ เพราะผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัจจัยลบด้านการเมืองที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคการลงทุน ความเชื่อมั่น และกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ออกไป นอกจากนี้บริษัทยังต้องการที่จะปิดการขายโครงการเดิมให้หมดก่อนการลงทุนในโครงการใหม่ด้วย
ทั้งนี้หลังจากที่ไม่ได้ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่มาเกือบ 4 ปี บริษัทได้มีการศึกษาและเตรียมแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในระยะยาว ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปีหน้า จะส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดโดยรวม ซึ่งถือว่าภาวะตลาดเริ่มเปิด และเหมาะสมต่อการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ โดยในระยะยาว 3-4 ปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการรวม 20-25 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 20,000ล้านบาท หรือบริษัทจะเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 4-5 โครงการ
โดยโครงการใหม่ที่จะลงทุนพัฒนาขายในช่วงปี53เป็นต้นไปนี้ จะเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาขายเฉลี่ย 70,000 – 90,000บาทต่อตารางเมตร โดยสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53นี้ บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 80-90% ส่วนที่เหลือ 10-20% จะเป็นการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งสาเหตุที่บริษัทให้น้ำหนักในการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าตลาดคอนโดฯยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เพราะปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันยังเป็นตัวแปรที่ส่งผลบวกต่อตลาดคอนโดฯ
สำหรับในปี53 นี้ บริษัทมีแผนจะมีโครงการใหม่ 4-5 โครงการ โดยในส่วนของโครงการที่มีความชัดเจนแล้วว่าจะเปิดตัวในปีหน้า ประกอบด้วย โครงการ สตาร์ เอสเตท รัชวิภา ซึ่งมีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการรวม 3 ไร่ โดยจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯสูง 32 ชั้น จำนวน 322 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท โครงการสตาร์ เอสเตท นราธิวาสราชนครินทร์ พื้นที่พัฒนาโครงการ 2 ไร่เศษ พัฒนาเป็นอาคารสูง 37 ชั้น จำนวน 294 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 90,000บาทต่อตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินในเมืองเพิ่มอีก1แปลง โดยจะนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ส่วนโครงการแนวราบนั้นจะลงทุนพัฒนาเปิดโครงการบ้านเดี่ยวย่านอ่อนนุชอีก 1 โครงการ
โดยคาดว่าจะมียอดขายในปี53ประมาณ 1,680 ล้านบาท ส่วนในปี 2544 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาท และในปี 2555 จะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท และจะเริ่มมีกำไรในปี 2554 ซึ่งจะทำให้ตัวเลขขาดทุนสะสมของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 190 ล้านบาทลดลงได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแผนจะนำที่ดินจำนวน 600 ไร่ ในจังหวัดระยองมาร่วมทุนกับพันธมิตรรายดังกล่าว สำหรับแผนการร่วมทุนพัฒนาที่ดินในจังหวัดระยองนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการชะลอแผนออกไป เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้แผนการร่วมทุนดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า ในขณะเดียวกัน บริษัทยังจะซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการลงทุนในระยะยาว3-4 ปีของบริษัทตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ ในปี53นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากการดำเนินงาน 1,050 ล้านบาท แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องประมาณการร์รายได้ใหม่โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมในปีนี้ประมาณ 800ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสต๊อกบ้านที่รอส่งมอบรวมมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท และเงินสดอีก 630 ล้านบาท ที่จะใช้ในการลงทุนต่อในปีหน้า
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการดำเนินธุระกิจในระยาว3-4 ปีว่า ในช่วง3ปีที่ผ่านมาบริษัทหยุดลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ เนื่องจาก
ภาวะตลาดไม่เอื้อฯ เพราะผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัจจัยลบด้านการเมืองที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคการลงทุน ความเชื่อมั่น และกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ออกไป นอกจากนี้บริษัทยังต้องการที่จะปิดการขายโครงการเดิมให้หมดก่อนการลงทุนในโครงการใหม่ด้วย
ทั้งนี้หลังจากที่ไม่ได้ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่มาเกือบ 4 ปี บริษัทได้มีการศึกษาและเตรียมแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในระยะยาว ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปีหน้า จะส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดโดยรวม ซึ่งถือว่าภาวะตลาดเริ่มเปิด และเหมาะสมต่อการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ โดยในระยะยาว 3-4 ปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการรวม 20-25 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 20,000ล้านบาท หรือบริษัทจะเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยปีละ 4-5 โครงการ
โดยโครงการใหม่ที่จะลงทุนพัฒนาขายในช่วงปี53เป็นต้นไปนี้ จะเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาขายเฉลี่ย 70,000 – 90,000บาทต่อตารางเมตร โดยสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53นี้ บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 80-90% ส่วนที่เหลือ 10-20% จะเป็นการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งสาเหตุที่บริษัทให้น้ำหนักในการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าตลาดคอนโดฯยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เพราะปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันยังเป็นตัวแปรที่ส่งผลบวกต่อตลาดคอนโดฯ
สำหรับในปี53 นี้ บริษัทมีแผนจะมีโครงการใหม่ 4-5 โครงการ โดยในส่วนของโครงการที่มีความชัดเจนแล้วว่าจะเปิดตัวในปีหน้า ประกอบด้วย โครงการ สตาร์ เอสเตท รัชวิภา ซึ่งมีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการรวม 3 ไร่ โดยจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯสูง 32 ชั้น จำนวน 322 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท โครงการสตาร์ เอสเตท นราธิวาสราชนครินทร์ พื้นที่พัฒนาโครงการ 2 ไร่เศษ พัฒนาเป็นอาคารสูง 37 ชั้น จำนวน 294 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 90,000บาทต่อตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินในเมืองเพิ่มอีก1แปลง โดยจะนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ส่วนโครงการแนวราบนั้นจะลงทุนพัฒนาเปิดโครงการบ้านเดี่ยวย่านอ่อนนุชอีก 1 โครงการ
โดยคาดว่าจะมียอดขายในปี53ประมาณ 1,680 ล้านบาท ส่วนในปี 2544 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาท และในปี 2555 จะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท และจะเริ่มมีกำไรในปี 2554 ซึ่งจะทำให้ตัวเลขขาดทุนสะสมของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 190 ล้านบาทลดลงได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแผนจะนำที่ดินจำนวน 600 ไร่ ในจังหวัดระยองมาร่วมทุนกับพันธมิตรรายดังกล่าว สำหรับแผนการร่วมทุนพัฒนาที่ดินในจังหวัดระยองนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการชะลอแผนออกไป เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้แผนการร่วมทุนดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า ในขณะเดียวกัน บริษัทยังจะซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการลงทุนในระยะยาว3-4 ปีของบริษัทตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ ในปี53นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากการดำเนินงาน 1,050 ล้านบาท แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องประมาณการร์รายได้ใหม่โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมในปีนี้ประมาณ 800ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสต๊อกบ้านที่รอส่งมอบรวมมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท และเงินสดอีก 630 ล้านบาท ที่จะใช้ในการลงทุนต่อในปีหน้า