ธ.กสิกรไทย ประเมินปีหน้าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง โดยครึ่งแรกของปีจะแข็งค่าอยู่ที่ 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และแข็งค่าต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีที่แตะระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สาเหตุค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังตั้งเป้าปีหน้ารุกใหญ่ธุรกิจตลาดทุน ขึ้นเป็นผู้นำขายตราสารหนี้ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง การปล่อยกู้ร่วม
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงทิศทางค่าเงินบาทของไทยในปี 2553 ว่าจะยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากสิ้นปี 2552 โดยคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าจะมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากสิ้นปีนี้ที่ธนาคารมองว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าอยู่ที่ 32.90-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีหน้าแตะที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การที่เงินบาทยังคงมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นนั้น สาเหตุหลักก็มาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯที่ปรับตัวอ่อนค่าลงแต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะมีการฟื้นตัวมากขึ้นหรือไม่อย่างไร โดยการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในปีหน้านั้น ธนาคารเชื่อว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าเร็วจนเกินไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า ธปท.จะเข้ามาดูแลได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ ในส่วนของแผนการดำเนินงานด้านธุรกิจตลาดทุนในปี 2553 นั้น มองว่าภาคธุรกิจจะมีสภาพคล่องที่สูงขึ้นประกอบกับอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลง และคาดว่าจะมีการไปใช้แหล่งเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าธนาคารคาดว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจะอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการปล่อยสินเชื่อร่วมคิดเป็นมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท หรือ ส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ที่ 30%
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย นายธิติ กล่าวว่า ภาคธุรกิจจะออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 2.25 แสนล้านบาท โดยธนาคารคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ในการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ประมาณ 25% หรือ คิดเป็นมูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท ส่วนการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองคาดว่าจะมีมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้าเป็นผู้นำในการซื้อขายด้วยมูลค่า 5.25 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 15%
นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสนใจการให้สินเชื่อโครงการ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐ และ สินเชื่อแก่ธุรกิจพลังงานในกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เนื่องจากยังเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสขยายตัวสูง และ ได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐ
"เราตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ การให้สินเชื่อโครงการพลังงานทางเลือก เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนในโครงการธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1.75 แสนล้านบาท"นายธิติ กล่าว
ด้านธุรกิจตลาดทุนในปีหน้าธนาคารจะมุ่งเน้นการเสนอบริการแบบครบวงจรที่มีความสอดคล้องกับภาวะตลาด และ ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดทุน อย่างไรก็ดี ธนาคารจะสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ด้วยการให้คำปรึกษาทางการเงินในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน การเข้าซื้อกิจการของภาคธุรกิจ และนักลงทุน รวมทั้งการให้บริการข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 นี้ภาคธุรกิจโดยรวมมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ ซึ่งมีมูลค่า 3.4 แสนล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 18% รวมทั้งคาดว่าจะมีปริมาณซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองมากว่า 3.2 ล้านล้านบาท โดยธนาคารจะเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดคิดเป็น 4.5 แสนล้านบาท หรือ มีส่วนแบ่งตลาด 13.9% สำหรับการปล่อยสินเชื่อร่วมของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในปีนี้นั้น คาดว่าจะมีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วมมากที่สุด 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน 31%
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงทิศทางค่าเงินบาทของไทยในปี 2553 ว่าจะยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากสิ้นปี 2552 โดยคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าจะมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากสิ้นปีนี้ที่ธนาคารมองว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าอยู่ที่ 32.90-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีหน้าแตะที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การที่เงินบาทยังคงมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นนั้น สาเหตุหลักก็มาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯที่ปรับตัวอ่อนค่าลงแต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะมีการฟื้นตัวมากขึ้นหรือไม่อย่างไร โดยการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในปีหน้านั้น ธนาคารเชื่อว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าเร็วจนเกินไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า ธปท.จะเข้ามาดูแลได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ ในส่วนของแผนการดำเนินงานด้านธุรกิจตลาดทุนในปี 2553 นั้น มองว่าภาคธุรกิจจะมีสภาพคล่องที่สูงขึ้นประกอบกับอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลง และคาดว่าจะมีการไปใช้แหล่งเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าธนาคารคาดว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบจะอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการปล่อยสินเชื่อร่วมคิดเป็นมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท หรือ ส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ที่ 30%
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย นายธิติ กล่าวว่า ภาคธุรกิจจะออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 2.25 แสนล้านบาท โดยธนาคารคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ในการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ประมาณ 25% หรือ คิดเป็นมูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท ส่วนการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองคาดว่าจะมีมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้าเป็นผู้นำในการซื้อขายด้วยมูลค่า 5.25 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 15%
นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสนใจการให้สินเชื่อโครงการ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐ และ สินเชื่อแก่ธุรกิจพลังงานในกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เนื่องจากยังเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสขยายตัวสูง และ ได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐ
"เราตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ การให้สินเชื่อโครงการพลังงานทางเลือก เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนในโครงการธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1.75 แสนล้านบาท"นายธิติ กล่าว
ด้านธุรกิจตลาดทุนในปีหน้าธนาคารจะมุ่งเน้นการเสนอบริการแบบครบวงจรที่มีความสอดคล้องกับภาวะตลาด และ ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดทุน อย่างไรก็ดี ธนาคารจะสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ด้วยการให้คำปรึกษาทางการเงินในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน การเข้าซื้อกิจการของภาคธุรกิจ และนักลงทุน รวมทั้งการให้บริการข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 นี้ภาคธุรกิจโดยรวมมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ ซึ่งมีมูลค่า 3.4 แสนล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 18% รวมทั้งคาดว่าจะมีปริมาณซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองมากว่า 3.2 ล้านล้านบาท โดยธนาคารจะเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดคิดเป็น 4.5 แสนล้านบาท หรือ มีส่วนแบ่งตลาด 13.9% สำหรับการปล่อยสินเชื่อร่วมของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในปีนี้นั้น คาดว่าจะมีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วมมากที่สุด 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน 31%