ศุภาลัย เผยตัวเลข 10 เดือน สร้างยอดขายได้ถึง 11,700 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 58% และบ้านจัดสรร 42% โกยกำไร 9 เดือนแรก อันดับ 2 ของกลุ่มอสังหาฯ ในตลาดหุ้น
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI คาดการณ์ยอดขายบ้านตลอดทั้งปี 2552 บริษัทฯ น่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ ประมาณ 13,000 ล้านบาท เนื่องจาก 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั้ง“ศุภาลัย ปาร์ค อโศก-รัชดา"และ“ศุภาลัย ปาร์ค รัชโยธิน"ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 เพียง 1 สัปดาห์ สามารถทำยอดขายได้สูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขาย 10 เดือนเศษของปี 2552 บริษัทสามารถทำได้เกือบ 11,700 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 58% และบ้านจัดสรร 42%
ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับ 37% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ทำได้เฉลี่ย 17.2% ส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย ทำได้ 26% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ทำได้เฉลี่ย 15.8% อีกทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการขาย สามารถควบคุมให้เหลือเพียง 6% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ต้องใช้เฉลี่ย 12.2% ของยอดรายรับ
สำหรับยอดกำไรก่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2552 ทำได้ 2,633 ล้านบาท จัดเป็นอันดับที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI คาดการณ์ยอดขายบ้านตลอดทั้งปี 2552 บริษัทฯ น่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ ประมาณ 13,000 ล้านบาท เนื่องจาก 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั้ง“ศุภาลัย ปาร์ค อโศก-รัชดา"และ“ศุภาลัย ปาร์ค รัชโยธิน"ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 เพียง 1 สัปดาห์ สามารถทำยอดขายได้สูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขาย 10 เดือนเศษของปี 2552 บริษัทสามารถทำได้เกือบ 11,700 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 58% และบ้านจัดสรร 42%
ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับ 37% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ทำได้เฉลี่ย 17.2% ส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย ทำได้ 26% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ทำได้เฉลี่ย 15.8% อีกทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการขาย สามารถควบคุมให้เหลือเพียง 6% ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ต้องใช้เฉลี่ย 12.2% ของยอดรายรับ
สำหรับยอดกำไรก่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2552 ทำได้ 2,633 ล้านบาท จัดเป็นอันดับที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน