ราคาทองคำยังพุ่งรับเงินดอลลาร์อ่อนค่า ล่าสุด ทำสถิติใหม่ 1,143.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านไอเอ็มเอฟแถลง ขายทองคำ 2 ตันให้ธนาคารกลางมอริเชียสอีก 71.7 ล้านดอลลาร์ ส่งสัญญาณประเทศเกิดใหม่สำรองทองคำเพิ่ม ขณะที่เฟดประกาศคงดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ กดดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงอีก ส่วนราคาทองคำในประเทศ ทุบสถิติเช่นกัน โดยทองรูปพรรณราคาพุ่งแตะ 18,300 บาท นักวิเคราะห์กองทุนรวมแนะ ใครกล้าเสี่ยงยังลงทุนได้
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานทำสถิติใหม่อีกแล้ว เมื่อเปิดตลาดฮ่องกงวานนี้ (17) ในระดับ 1,140.00 – 1,141.00 ต่อออนซ์ ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 1,137 -1,138 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (16 พ.ย.52) ที่ระดับ 1,131 -1,132 ดอลลาร์/ออนซ์
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ราคาทองขยับขึ้นต่อนั้น สืบเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนตัว ทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรจำนวนมากยังคงทำ “carry trade”
ทั้งนี้ ธุรกรรม“แคร์รี เทรด” ที่นิยมทำกันขณะนี้ ก็คือ การกู้ยืมเป็นสกุลดอลลาร์ ซึ่งกำลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเรื่อยๆ และอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำสุดๆ อันหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมจะถูกมากๆ แล้วก็นำเอาเงินกู้ดังกล่าวไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากกว่าแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในเวลานี้ที่นิยมกันก็คือสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ และน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาทองคำวานนี้ ยังได้ปัจจัยบวกจากตัวเลขการเติบโตของจีดีพีญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ที่แถลงกันออกมาเมื่อวันจันทร์(16) ซึ่งปรากฏว่าแข็งแกร่งกว่าที่คาดหมายกัน ตลอดจนข่าวที่ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงในวันจันทร์เช่นกันว่า ได้ขายทองคำจำนวน 2 ตันให้แก่ธนาคารกลางของประเทศมอริเชียส เป็นมูลค่า 71.7 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ตอนต้นเดือนนี้ได้ขายทองคำ 200 ตันเป็นมูลค่า 6,700 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ธนาคารกลางของอินเดียไปแล้ว
ทั้งนี้ ตลาดมีความสนุกสนานกับการคาดเก็งว่าประเทศต่างๆ จะเทขายเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ในทุนสำรอง และหันมาซื้อหาทองคำกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผลจากการซื้อทองคำ 2 เมตริกตันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์ของธนาคารกลางมอริเชียสในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะเพิ่มสำรองทองคำและแห่ซื้อทองคำ ในขณะที่ราคาโลหะมีค่านั้นซื้อขายกันอยู่ใกล้ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากเงินดอลลาร์ร่วงลง
สำหรับทองคำที่ขายให้กับธนาคารกลางมอริเชียสนั้น คำนวณบนฐานราคาตลาดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งราคาทองสปอตในวันดังกล่าวซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1,105.66 – 1,118.88 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไอเอ็มเอฟระบุว่า พร้อมที่จะขายทองให้กับธนาคารกลางประเทศต่างๆโดยตรง รวมทั้งการขายในตลาดเปิดหากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบัน ไอเอ็มเอฟถือครองทองคำอยู่ราว 3,000 ตัน มากสุดเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐ และเยอรมนี ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟวางแผนที่จะขายทองคำ 403.3 เมตริกตัน เพื่อพยุงสถานะทางการเงินขององค์กร
นายเอวี ฮัมโบร ผู้บริหารของแบล็คร็อค อินเวสเมนท์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ประเทศที่ถือทองคำอยู่ในคลังสำรองคงจะหันมาสนใจซื้อทองคำกันอีกครั้ง ขณะที่เชน โอลิเวอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของเอเอ็มพี แคปิตอล อินเวสเตอร์ส กล่าวว่า การซื้อทองคำของธนาคารกลางมอริเชียสครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ว่า ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังหาทางเพิ่มทุนสำรองต่างประเทศในรูปของทองคำ
เขากล่าวต่อไปว่า เงินดอลลาร์สหรัฐยังมีความผันผวนอยู่มาก และตอนนี้นักลงทุนก็ไม่ได้มีความมั่นใจในสกุลเงินใดๆมากนัก ทองคำจึงเป็นทางเลือกในขณะนี้
ทั้งนี้ ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมากนับตั้งที่เกิดวิกฤตการเงินนั้น ได้แสดงความสนใจที่จะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์นอกเหนือจากสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากยิ่งขึ้น
รายงาข่าวระบุว่า เมื่อวานก่อน (16 พ.ย.) ราคาทองในตลาดโลก ทำสถิติใหม่อีกครั้ง หลังจากราคาขึ้นไปแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,143.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำในปีนี้ ได้ทะยานขึ้นไปแล้ว 29% หลังจากที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และนักลงทุนพยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้
เฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยต่อ
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวปาฐกถาในที่ประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กเมื่อคือวันที่ 16 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทยว่า เฟดจะติดตามดูสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในเวลานี้ แต่เบอร์นันเก้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น
“เฟดมีแนวโน้มที่จะดำเนินการบางอย่างเพื่อปรับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และเราติดตามดูสถานการณ์เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอยู่ในเวลานี้อย่างใกล้ชิด เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่ากำลังส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในอีกด้านหนึ่งนั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นอาจสะท้อนถึงการฟื้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” เบอร์นันเก้กล่าว
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ การที่เบอร์นันเก้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ต่อไปอีกนั้น ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และทำให้สัญญาทองคำตลาด COMEX ทะยานขึ้น 22.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,139.20 ดอลลาร์/ออนซ์ อีกทั้งหนุนสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้น 2.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 78.90 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา
ทองรูปพรรณทุบสถิติบาทละ18,300
ด้านสมาคมค้าทองคำรายงาน ราคาทองคำประจำวันที่ 17 พ.ย. 2552 ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,750 บาท ขายออกบาทละ 17,850 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 17,494.64 บาท ขายออกบาทละ18,250 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของราคาซื้อขายทองรูปพรรณ ระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปทุบสถิติใหม่อีกครั้งที่ 18,300 บาท ก่อนจะปรับลดลงมา 2 ครั้ง มาอยู่ที่ 18,250 บาท และ 18,200 บาทตามลำดับ ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดที่ 18,250 บาท
กูรูแนะลงทุนได้ถ้ากล้าเสี่ยง
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่มั่นคง เราจึงยังคงแนะนำให้ลงทุนกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ และกองทุนตลาดเงินต่อไป เนื่องจากภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวยังคงเปราะบางมีความเสี่ยงสูงอยู่ โดยกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำยังคงเป็น TMBCB และกองทุนตลาดเงิน PCASH ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าเงินฝากประจำ และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากสถาบันการเงินกว่า 96% ของพอร์ตการลงทุนซึ่งได้รับการค้ำประกัน และที่เหลือจำนวนไม่มากอีก 3.14% เป็นตั๋วแลกเงินของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการลงทุนในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง ยังแนะนำการลงทุนในทองคำ โดยมีปัจจัยแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความต้องการทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุน ซึ่งกองทุนทองคำที่เราแนะนำคือ ASP-GOLD และ K-GOLD โดยมีกองทุนทองคำกองใหม่ล่าสุดอย่าง PGOLD เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนระยะยาวมีจุดเด่นที่แตกต่างจากกองทุนทองคำกองอื่น คือการลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยง
ทั้งนี้ แนวโน้มราคาทองคำเอง ยังคงได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ปรับตัวลดลง จากยอดขาดดุลการค้าที่พุ่งขึ้น 18.2% ในเดือน ก.ย. ขณะที่ราคาทองคำพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ 1,122.85 เหรียญสหรัฐฯ และยังมีปัจจัยหนุนจากความต้องการทองคำของธนาคารกลางประเทศต่างๆ อีกด้วย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานทำสถิติใหม่อีกแล้ว เมื่อเปิดตลาดฮ่องกงวานนี้ (17) ในระดับ 1,140.00 – 1,141.00 ต่อออนซ์ ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 1,137 -1,138 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (16 พ.ย.52) ที่ระดับ 1,131 -1,132 ดอลลาร์/ออนซ์
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ราคาทองขยับขึ้นต่อนั้น สืบเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนตัว ทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรจำนวนมากยังคงทำ “carry trade”
ทั้งนี้ ธุรกรรม“แคร์รี เทรด” ที่นิยมทำกันขณะนี้ ก็คือ การกู้ยืมเป็นสกุลดอลลาร์ ซึ่งกำลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเรื่อยๆ และอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำสุดๆ อันหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมจะถูกมากๆ แล้วก็นำเอาเงินกู้ดังกล่าวไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากกว่าแต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในเวลานี้ที่นิยมกันก็คือสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ และน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาทองคำวานนี้ ยังได้ปัจจัยบวกจากตัวเลขการเติบโตของจีดีพีญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ที่แถลงกันออกมาเมื่อวันจันทร์(16) ซึ่งปรากฏว่าแข็งแกร่งกว่าที่คาดหมายกัน ตลอดจนข่าวที่ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงในวันจันทร์เช่นกันว่า ได้ขายทองคำจำนวน 2 ตันให้แก่ธนาคารกลางของประเทศมอริเชียส เป็นมูลค่า 71.7 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ตอนต้นเดือนนี้ได้ขายทองคำ 200 ตันเป็นมูลค่า 6,700 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ธนาคารกลางของอินเดียไปแล้ว
ทั้งนี้ ตลาดมีความสนุกสนานกับการคาดเก็งว่าประเทศต่างๆ จะเทขายเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ในทุนสำรอง และหันมาซื้อหาทองคำกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผลจากการซื้อทองคำ 2 เมตริกตันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์ของธนาคารกลางมอริเชียสในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะเพิ่มสำรองทองคำและแห่ซื้อทองคำ ในขณะที่ราคาโลหะมีค่านั้นซื้อขายกันอยู่ใกล้ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากเงินดอลลาร์ร่วงลง
สำหรับทองคำที่ขายให้กับธนาคารกลางมอริเชียสนั้น คำนวณบนฐานราคาตลาดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งราคาทองสปอตในวันดังกล่าวซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1,105.66 – 1,118.88 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไอเอ็มเอฟระบุว่า พร้อมที่จะขายทองให้กับธนาคารกลางประเทศต่างๆโดยตรง รวมทั้งการขายในตลาดเปิดหากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบัน ไอเอ็มเอฟถือครองทองคำอยู่ราว 3,000 ตัน มากสุดเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐ และเยอรมนี ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟวางแผนที่จะขายทองคำ 403.3 เมตริกตัน เพื่อพยุงสถานะทางการเงินขององค์กร
นายเอวี ฮัมโบร ผู้บริหารของแบล็คร็อค อินเวสเมนท์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ประเทศที่ถือทองคำอยู่ในคลังสำรองคงจะหันมาสนใจซื้อทองคำกันอีกครั้ง ขณะที่เชน โอลิเวอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของเอเอ็มพี แคปิตอล อินเวสเตอร์ส กล่าวว่า การซื้อทองคำของธนาคารกลางมอริเชียสครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ว่า ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังหาทางเพิ่มทุนสำรองต่างประเทศในรูปของทองคำ
เขากล่าวต่อไปว่า เงินดอลลาร์สหรัฐยังมีความผันผวนอยู่มาก และตอนนี้นักลงทุนก็ไม่ได้มีความมั่นใจในสกุลเงินใดๆมากนัก ทองคำจึงเป็นทางเลือกในขณะนี้
ทั้งนี้ ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมากนับตั้งที่เกิดวิกฤตการเงินนั้น ได้แสดงความสนใจที่จะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์นอกเหนือจากสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากยิ่งขึ้น
รายงาข่าวระบุว่า เมื่อวานก่อน (16 พ.ย.) ราคาทองในตลาดโลก ทำสถิติใหม่อีกครั้ง หลังจากราคาขึ้นไปแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,143.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำในปีนี้ ได้ทะยานขึ้นไปแล้ว 29% หลังจากที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และนักลงทุนพยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้
เฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยต่อ
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวปาฐกถาในที่ประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กเมื่อคือวันที่ 16 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทยว่า เฟดจะติดตามดูสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในเวลานี้ แต่เบอร์นันเก้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น
“เฟดมีแนวโน้มที่จะดำเนินการบางอย่างเพื่อปรับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และเราติดตามดูสถานการณ์เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอยู่ในเวลานี้อย่างใกล้ชิด เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่ากำลังส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในอีกด้านหนึ่งนั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นอาจสะท้อนถึงการฟื้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” เบอร์นันเก้กล่าว
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ การที่เบอร์นันเก้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ต่อไปอีกนั้น ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และทำให้สัญญาทองคำตลาด COMEX ทะยานขึ้น 22.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,139.20 ดอลลาร์/ออนซ์ อีกทั้งหนุนสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้น 2.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 78.90 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา
ทองรูปพรรณทุบสถิติบาทละ18,300
ด้านสมาคมค้าทองคำรายงาน ราคาทองคำประจำวันที่ 17 พ.ย. 2552 ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,750 บาท ขายออกบาทละ 17,850 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 17,494.64 บาท ขายออกบาทละ18,250 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของราคาซื้อขายทองรูปพรรณ ระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปทุบสถิติใหม่อีกครั้งที่ 18,300 บาท ก่อนจะปรับลดลงมา 2 ครั้ง มาอยู่ที่ 18,250 บาท และ 18,200 บาทตามลำดับ ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดที่ 18,250 บาท
กูรูแนะลงทุนได้ถ้ากล้าเสี่ยง
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่มั่นคง เราจึงยังคงแนะนำให้ลงทุนกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ และกองทุนตลาดเงินต่อไป เนื่องจากภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวยังคงเปราะบางมีความเสี่ยงสูงอยู่ โดยกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำยังคงเป็น TMBCB และกองทุนตลาดเงิน PCASH ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าเงินฝากประจำ และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากสถาบันการเงินกว่า 96% ของพอร์ตการลงทุนซึ่งได้รับการค้ำประกัน และที่เหลือจำนวนไม่มากอีก 3.14% เป็นตั๋วแลกเงินของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการลงทุนในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง ยังแนะนำการลงทุนในทองคำ โดยมีปัจจัยแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความต้องการทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุน ซึ่งกองทุนทองคำที่เราแนะนำคือ ASP-GOLD และ K-GOLD โดยมีกองทุนทองคำกองใหม่ล่าสุดอย่าง PGOLD เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนระยะยาวมีจุดเด่นที่แตกต่างจากกองทุนทองคำกองอื่น คือการลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยง
ทั้งนี้ แนวโน้มราคาทองคำเอง ยังคงได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ปรับตัวลดลง จากยอดขาดดุลการค้าที่พุ่งขึ้น 18.2% ในเดือน ก.ย. ขณะที่ราคาทองคำพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ 1,122.85 เหรียญสหรัฐฯ และยังมีปัจจัยหนุนจากความต้องการทองคำของธนาคารกลางประเทศต่างๆ อีกด้วย