xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นทุบสถิติ ต.ค.ทะลุ2.7หมื่น/วัน มั่นใจบล.แกร่งรับเปิดเสรีคอมฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยเดือนต.ค. มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 2.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 27 เดือน และให้ผลตอบแทนเงินปันผล 3.68% สูงสุดในตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่ราคาหุ้นบจ. 275 แห่งต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ด้าน “วิรไทย” ชี้ธุรกิจหลักทรัพย์ ฐานะการเงินแกร่งพร้อมรับมือเปิดเสรีค่าคอมมิชชันหลังอัตราทำกำไรสูงถึง 20% และเงินกองทุนสูงถึง 5.71 หมื่นล้านบาท พร้อมยอมรับหุ้นไอพีโอระดมทุนแค่ 16 บริษัท มาร์เกตแคป 3.6 หมื่นล้านบาท พลาดเป้าที่ 20 บริษัท มาร์เกตแคป 5 หมื่นล้าน

นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเดือนตุลาคม 2552 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากเดือนกันยายน 4.44% จากความกังวลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก และปัจจัยลบในประเทศเมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม บวกกับดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ทำให้ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอยู่ที่ 11.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค แต่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 3.68% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค

ทั้งนี้ ในเดือนต.ค. 52 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 27,016 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 27 เดือน นับจากก.ค. 50 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 32,187 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปมีสัดส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์สูงถึง 63% นักลงทุนต่างประเทศ 20% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 6% และบัญชีการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ 12% ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ยอดซื้อสุทธิรวมมูลค่ากว่า 55,772 ล้านบาท

ด้านมูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเท่ากับ 16,012 สัญญา เพิ่มขึ้นจากเดือน 22% จากการที่ราคาทองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้มีปริมาณการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 2 นับจากเปิดซื้อขายในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 รวมถึงการซื้อขายฟิวเจอร์สอ้างอิงหุ้นรายตัวเพิ่มมากขึ้น

สำหรับสัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า สัดส่วนการซื้อขายในกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงต่อเนื่องสวนทางกับกลุ่มธนาคารที่เพิ่มขึ้น โดยการซื้อขายในกลุ่มพลังงานลดลงต่อเนื่องจากเดือนก.ย.ที่ 32% เป็น 27% ในเดือนต.ค. ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 24% หลังจากปรับตัวลดลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมอื่นที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม คือ หมวดเกษตรเพิ่มเป็น 4.3% จากเดือนที่ผ่านมาที่มี 1.3%

ขณะที่ บริษัทจดทะเบียนไทยมีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีจำนวน 275 บริษัท ลดลงจากปี 51ที่มีจำนวน 305 บริษัท ทำให้ปัจจุบันยังมีบจ.ที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอีกจำนวนมาก ขณะที่จำนวนบัญชีที่มีการซื้อขาย ต.ค. 52 มีจำนวน 143,108 บัญชี หรือคิดเป็น 39% เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. อยู่ที่ 25.8% และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อบัญชีอยู่ที่ 3.94ล้านบาท จากต้นปีที่มี 2 ล้านบาท

นายวิรไท กล่าวว่า จากการประเมินสภาพแวดล้อมและโครงสร้างของธุรกิจหลักทรัพย์ของไทย พบว่า ธุรกิจหลักทรัพย์มีความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ขั้นบันไดในปี 53 ก่อนจะเปิดเสรีเต็มรูปแบบในปี 55 ได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการเปิดเสรีเมื่อปี 2543 เนื่องจาก ฐานะทางการเงินของบริษัทหลักทรัพย์โดยรวมมีความแข็งแกร่ง โดยในช่วงปี 2548 - 9 เดือนแรกของปีนี้ (ยกเว้นปี2551ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ) อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ 20%

หุ้นไอพีโอพลาดเป้า
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ในปีนี้ ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) รวม 16 บริษัท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ 20 บริษัท เนื่องจากบริษัทที่ได้รับอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว อยู่ระหว่างรอดูภาวะตลาดและภาวะเศรษฐกิจ จึงได้มีการเลื่อนไปจดทะเบียนในปีหน้า และบริษัทที่มีแผนที่จะเข้าอยู่ระหว่างรอการอนุมัติไฟลิ่งจาก ก.ล.ต คิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) 36,000 ล้านบาท จากเป้า 50,000 ล้านบาท

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการหารือ ก.ล.ต.ให้มีการออกประกาศและเกณฑ์ในการให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ จากปัจจุบันที่ก.ล.ต.ได้มีการออกประกาศและเกณฑ์ให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียน 2 ตลาด (ดูอัลลิสติ้ง) เพื่อให้บริษัทไทยที่ประกอบธุรกิจในต่างประเทศสามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ โดยไม่ต้องเป็นลัษณะของดูอัลลิสติ้ง

“ปัจจุบันเกณฑ์ของดูอัลลิสตติ้งมีแล้ว แต่ปีหน้า เราจะพลักดันให้มีการออกเกณฑ์ให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ เพื่อทำให้บริษัทไทยที่ไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนได้ทันทีโดยไม่ต้องเป็นลักษณะจดทะเบียน2 ตลาด” นายชนิตรกล่าว

ทั้งนี้ จากการที่ได้เดินทางไป สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อวันที่ 9-10 พฤษจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อไปพบกับบริษัทที่ทำธุรกิจในลาว เพื่อชวนให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งขณะนี้บริษัทที่สนใจเข้ามาจดทะเบียนนั้นอยู่ระหว่างการจัดทำเรื่องระบบของบัญชี โดยปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯหวังว่าจะมีบริษัทจากลาวเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แต่คงจะเป็นประมาณปลายปีที่ตลาดหุ้นของ ลาวมีการเปิดซื้อขาย เพราะ ต้องการที่บริษัทลาวจะเข้ามาจดทะเบียนนั้นต้องเข้าจดทะเบียนในลาวก่อน จากที่เรามีเกณฑ์ดูอัลลิสตติ้งแต่ยังไม่มีเกณฑ์ให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดแรก แต่หากเกณฑ์ดังกล่าวออกมาได้ก่อน หากมีบริษัทพร้อมเข้ามาจดทะเบียนได้ทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น