“สันติ” บอสใหญ่บุญรอดฯ จวกกรมสรรพสามิต ชี้จัดเก็บภาษีเบียร์ ณ โรงงานตามเซกเมนต์ เอื้อเบียร์นำเข้าทะลัก หลังเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนน้ำเมานำเข้า 0% แจงเบียร์ไทยเสียเปรียบไม่สามารถแข่งขันราคา ระบุเบียร์จีนเกลื่อนไทยขายราคา 15 บาท หวั่นน้ำเมาเวียดนามบุกไทย ชงปรับโครงสร้างภาษีจัดเก็บตามปริมาณดีกรีสกัดคู่แข่ง เสนอสูตร 7 บาทต่อดีกรี ร่วม 7 ปีสูญเปล่า
นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์สิงห์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการแข่งขันตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีหน้านี้ผู้ประกอบการไทย ต้องปรับตัวรับมือกับการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า ซึ่งจะมีผลทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 0% ในวันที่ 1มกราคม 2553 หรือกระทั่งรองรับกับการเปิดเขตเสรีการค้าระหว่างประเทศ หรือเอฟทีเอ ซึ่งกรณีโครงสร้างภาษีเบียร์ เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องแก้ไข โดยปรับระบบการจัดเก็บภาษี ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์ของเบียร์ มาเป็นการจัดเก็บภาษีตามปริมาณดีกรีแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับเบียร์นำเข้าได้อย่างยุติธรรม
ด้านนายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และดร.สุธาบดี สัตตบุศย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กล่าวว่า การเก็บภาษีเบียร์ ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์เบียร์ ไม่สามารถทำให้เบียร์ไทยสามารถแข่งขันบนโลกโลกาภิวัฒน์ได้ จากที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้ปรับเพดานภาษีเบียร์เพิ่มจาก 55% เป็น 60% แต่โดยรวมต้องเสียภาษีถึง 67% ยกตัวอย่างเบียร์สิงห์ เสียภาษี 29.23 บาท ส่วนอีก 13.70 บาท ถือว่าต้นทุนกับกำไร จากราคาขายสิงห์ขวดใหญ่ 42.93 บาท เมื่อเทียบกับเบียร์นำเข้าการเปิดเขตเสรีการค้า สามารถแจ้งราคาซื้อขายแล้วแต่กำหนด อาทิ เบียร์จีน แจ้งราคาซื้อขาย 6 บาท เสียภาษีกรมสรรพสามิต 60% โดยเฉลี่ยเบียร์นำเข้าจีนมีต้นทุน 12 บาท สามารถเข้ามาจำหน่ายราคา 15 บาท ซึ่งขณะนี้มีเบียร์จีนแจ้งราคาซื้อขายกว่า 5 บาท ด้วยซ้ำ
“เบียร์นำเข้าไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร แต่เสียภาษีกรมสรรพสามิตแทน ซึ่งขณะนี้คิดในอัตรา 60% ขณะที่เบียร์ไทย ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน และประการสำคัญการเสียภาษี ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์ ไม่ได้เป็นตามมาตรฐานสากล และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกรมสรรพสามิตทั้งสิ้น”
ทั้งนี้การเปิดเขตเสรีการค้านอกจากเอื้อให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาทำตลาดในไทยแล้วง่ายแล้ว แต่ขณะที่เบียร์ไทยจะเข้าไปทำตลาดในอาเซียนได้ยาก เพราะมีกำแพงภาษีนำเข้า อาทิ ภาษีนำเข้าเบียร์ในลาวและอินโดนีเซีย 40% กัมพูชา 35% โดยมีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ภาษีเบียร์นำเข้า 0% คือ ประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวนอกเหนือจากจีน เพราะรัฐบาลมีนโยบายรุกธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท โดยตั้งเป้า 10 ปี มีกำลังการผลิต 6,000 ล้านลิตร จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 2,000 ล้านบาท และอีก 5 ปี เพิ่มเป็น 4,000 ล้านลิตร
**ชงสูตรปรับภาษีดีกรี7ปีสูญเปล่า**
นายปิติ กล่าวว่า บริษัทได้เสนอร่างโครงสร้างการจัดเก็บภาษีตามปริมาณดีกรี เพื่อให้ภาครัฐพิจารณานานร่วม 7 ปี จาก 550 บาท ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ มาเป็น 700 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือประมาณดีกรีละ 7 บาท ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเบียร์ 2 หมื่นล้านบาท แต่การเสนอแนวทางดังกล่าวกลับไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามแผนการตลาดเพื่อรองรับกับเบียร์ที่จะทะลักเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัทโฟกัสคุณภาพของสินค้า และช่องทางจัดจำหน่าย และตอกย้ำแบรนด์ต่อเนื่อง เพื่อสร้างจงรักภักดี เพราะพฤติกรรมการบริโภคเบียร์ไม่ได้คำนึงปัจจัยราคาเป็นอันดับแรก แต่ให้ความสำคัญกับแบรนด์มากกว่า
“ผมไม่คิดจะลงทุนสร้างโรงงานในต่างประเทศ เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ บริษัทเราเป็นคนไทย การดำเนินธุรกิจต้องอยู่รอด เราจะสู้เต็มที แม้ว่าระบบการจัดเก็บภาษีเบียร์ ณ หน้าโรงงานตามเซกเมต์ ที่มีขึ้นเมื่อปี 2546 จะไม่เอื้อให้เบียร์ไทยสามารถแข่งขันกับเบียร์นำเข้าได้ในปีหน้านี้ก็ตาม” นายปิติกล่าว
นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์สิงห์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการแข่งขันตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีหน้านี้ผู้ประกอบการไทย ต้องปรับตัวรับมือกับการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า ซึ่งจะมีผลทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 0% ในวันที่ 1มกราคม 2553 หรือกระทั่งรองรับกับการเปิดเขตเสรีการค้าระหว่างประเทศ หรือเอฟทีเอ ซึ่งกรณีโครงสร้างภาษีเบียร์ เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องแก้ไข โดยปรับระบบการจัดเก็บภาษี ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์ของเบียร์ มาเป็นการจัดเก็บภาษีตามปริมาณดีกรีแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับเบียร์นำเข้าได้อย่างยุติธรรม
ด้านนายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และดร.สุธาบดี สัตตบุศย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กล่าวว่า การเก็บภาษีเบียร์ ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์เบียร์ ไม่สามารถทำให้เบียร์ไทยสามารถแข่งขันบนโลกโลกาภิวัฒน์ได้ จากที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้ปรับเพดานภาษีเบียร์เพิ่มจาก 55% เป็น 60% แต่โดยรวมต้องเสียภาษีถึง 67% ยกตัวอย่างเบียร์สิงห์ เสียภาษี 29.23 บาท ส่วนอีก 13.70 บาท ถือว่าต้นทุนกับกำไร จากราคาขายสิงห์ขวดใหญ่ 42.93 บาท เมื่อเทียบกับเบียร์นำเข้าการเปิดเขตเสรีการค้า สามารถแจ้งราคาซื้อขายแล้วแต่กำหนด อาทิ เบียร์จีน แจ้งราคาซื้อขาย 6 บาท เสียภาษีกรมสรรพสามิต 60% โดยเฉลี่ยเบียร์นำเข้าจีนมีต้นทุน 12 บาท สามารถเข้ามาจำหน่ายราคา 15 บาท ซึ่งขณะนี้มีเบียร์จีนแจ้งราคาซื้อขายกว่า 5 บาท ด้วยซ้ำ
“เบียร์นำเข้าไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร แต่เสียภาษีกรมสรรพสามิตแทน ซึ่งขณะนี้คิดในอัตรา 60% ขณะที่เบียร์ไทย ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน และประการสำคัญการเสียภาษี ณ หน้าโรงงานตามเซกเมนต์ ไม่ได้เป็นตามมาตรฐานสากล และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกรมสรรพสามิตทั้งสิ้น”
ทั้งนี้การเปิดเขตเสรีการค้านอกจากเอื้อให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาทำตลาดในไทยแล้วง่ายแล้ว แต่ขณะที่เบียร์ไทยจะเข้าไปทำตลาดในอาเซียนได้ยาก เพราะมีกำแพงภาษีนำเข้า อาทิ ภาษีนำเข้าเบียร์ในลาวและอินโดนีเซีย 40% กัมพูชา 35% โดยมีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ภาษีเบียร์นำเข้า 0% คือ ประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวนอกเหนือจากจีน เพราะรัฐบาลมีนโยบายรุกธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท โดยตั้งเป้า 10 ปี มีกำลังการผลิต 6,000 ล้านลิตร จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 2,000 ล้านบาท และอีก 5 ปี เพิ่มเป็น 4,000 ล้านลิตร
**ชงสูตรปรับภาษีดีกรี7ปีสูญเปล่า**
นายปิติ กล่าวว่า บริษัทได้เสนอร่างโครงสร้างการจัดเก็บภาษีตามปริมาณดีกรี เพื่อให้ภาครัฐพิจารณานานร่วม 7 ปี จาก 550 บาท ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ มาเป็น 700 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือประมาณดีกรีละ 7 บาท ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเบียร์ 2 หมื่นล้านบาท แต่การเสนอแนวทางดังกล่าวกลับไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามแผนการตลาดเพื่อรองรับกับเบียร์ที่จะทะลักเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัทโฟกัสคุณภาพของสินค้า และช่องทางจัดจำหน่าย และตอกย้ำแบรนด์ต่อเนื่อง เพื่อสร้างจงรักภักดี เพราะพฤติกรรมการบริโภคเบียร์ไม่ได้คำนึงปัจจัยราคาเป็นอันดับแรก แต่ให้ความสำคัญกับแบรนด์มากกว่า
“ผมไม่คิดจะลงทุนสร้างโรงงานในต่างประเทศ เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ บริษัทเราเป็นคนไทย การดำเนินธุรกิจต้องอยู่รอด เราจะสู้เต็มที แม้ว่าระบบการจัดเก็บภาษีเบียร์ ณ หน้าโรงงานตามเซกเมต์ ที่มีขึ้นเมื่อปี 2546 จะไม่เอื้อให้เบียร์ไทยสามารถแข่งขันกับเบียร์นำเข้าได้ในปีหน้านี้ก็ตาม” นายปิติกล่าว