ยูบิลลี่ จ่อแตกแบรนด์ใหม่ ชูคอนเซปต์ “ยูบิลลี่ พลัส” ลุยตลาดเครื่องประดับเพชรพรีเมียม หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูง เพิ่มกำลังผลิตเพชร 1หมื่นกะรัต หวังป้อนคอลเลกชันไดมอนด์ ไลน์ ทะลวงกลุ่มวัยทำงานเต็มสูบ ซุ่มศึกษาช่องทางออนไลน์ ขยายตลาดต่างประเทศ จ่อสิงคโปร์แห่งแรก ปีหน้ารายได้โต 20% ใกล้เคียงกับปีนี้
นางสาว อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรยูบิลลี่ เปิดเผยว่า แนวทางการตลาดหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน นี้ บริษัทจะระดมทุนเพื่อขยายไลน์การผลิต ขยายสาขา และลงทุนระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
สำหรับการทำตลาดในปีหน้านี้วางแผนขยายไลน์เครื่องประดับสู่ตลาดพรีเมียมภายใต้คอนเซปต์ “ยูบิลลี่ พลัส” เพื่อขยายฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ 4-5หมื่นบาท จากเดิมสินค้ายูบิลลี่ มีตั้งแต่ราคา 1,000-10,000 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ คาดว่า จะเปิดตัว ยูบิลลี่ พลัส ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาชื่อแบรนด์ นำร่องจำหน่ายร่วมกับเคาน์เตอร์ของยูบิลลี่ 10 แห่งในกรุงเทพฯ จากปัจจุบันมีทั้งหมด 68 สาขา สิ้นปีเป็น 70 แห่ง และปีหน้าคาดว่า จะขยายไม่ต่ำกว่า 75 แห่ง โดยเน้นขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมีสาขาในกรุงเทพฯ ครอบคลุมและล่าสุดได้สั่งซื้อเพชรล็อตน้ำหนัก 1 หมื่นกะรัต จากประเทศเบลเยียม เพื่อผลิตเพชรคอลเลกชันไดมอน ไลน์ รุ่นใหม่ โดยขยายไลน์ไปสู่ต่างหู สร้อยข้อมือ และจี้เพชร
หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทดลองนำร่องจำหน่ายคอลเลกชันไดมอนด์ ไลน์ รุ่นลิมิเต็ด ไปเมื่อช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานอายุ 23 ปีขึ้นไป ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนขยายช่องจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ เจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาด คาดว่า จะเปิดตัวในประเทศสิงคโปร์
ส่วนช่องทางจำหน่ายการซื้อเพชรผ่านระบบเช่าซื้อ ทางธนาคารกรุงไทย เพิ่งเริ่มดำเนินการมา 2 ปี และคาดว่าปีหน้าช่องทางดังกล่าวโต 50% และมีสัดส่วนรายได้ 1-2% ของรายได้รวม ที่เหลือ 98-99% มาจากเคาน์เตอร์
สำหรับสภาพตลาดเครื่องประดับเพชร มูลค่า 6,744 ล้านบาท ในปีหน้าคาดว่า ตลาดมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่วนราคาเครื่องประดับเพชร มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นตามมูลค่า อาทิ 1 กะรัต ราคาปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-5% และ 4-5 กะรัต ปรับเพิ่มขึ้น 7-10% โดยผลประกอบการปีหน้าบริษัทตั้งเป้าเติบโต 20% ใกล้เคียงกับปีนี้ จากกำไรสุทธิในช่วง 2 ไตรมาสแรก เติบโต 8.8% และคาดว่าทั้งปีเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
นางสาวอัญรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดเครื่องประดับเพชรในประเทศไทย ยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการตลาดในเชิงรุกบริษัทตั้งเป้าปีหน้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 10% เป็น 12-13% ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และในอนาคตวางแผนแตกโปรดักส์ไลน์กลุ่มหยก และพลอย
นางสาว อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรยูบิลลี่ เปิดเผยว่า แนวทางการตลาดหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน นี้ บริษัทจะระดมทุนเพื่อขยายไลน์การผลิต ขยายสาขา และลงทุนระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
สำหรับการทำตลาดในปีหน้านี้วางแผนขยายไลน์เครื่องประดับสู่ตลาดพรีเมียมภายใต้คอนเซปต์ “ยูบิลลี่ พลัส” เพื่อขยายฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ 4-5หมื่นบาท จากเดิมสินค้ายูบิลลี่ มีตั้งแต่ราคา 1,000-10,000 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ คาดว่า จะเปิดตัว ยูบิลลี่ พลัส ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาชื่อแบรนด์ นำร่องจำหน่ายร่วมกับเคาน์เตอร์ของยูบิลลี่ 10 แห่งในกรุงเทพฯ จากปัจจุบันมีทั้งหมด 68 สาขา สิ้นปีเป็น 70 แห่ง และปีหน้าคาดว่า จะขยายไม่ต่ำกว่า 75 แห่ง โดยเน้นขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมีสาขาในกรุงเทพฯ ครอบคลุมและล่าสุดได้สั่งซื้อเพชรล็อตน้ำหนัก 1 หมื่นกะรัต จากประเทศเบลเยียม เพื่อผลิตเพชรคอลเลกชันไดมอน ไลน์ รุ่นใหม่ โดยขยายไลน์ไปสู่ต่างหู สร้อยข้อมือ และจี้เพชร
หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทดลองนำร่องจำหน่ายคอลเลกชันไดมอนด์ ไลน์ รุ่นลิมิเต็ด ไปเมื่อช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานอายุ 23 ปีขึ้นไป ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนขยายช่องจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ เจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาด คาดว่า จะเปิดตัวในประเทศสิงคโปร์
ส่วนช่องทางจำหน่ายการซื้อเพชรผ่านระบบเช่าซื้อ ทางธนาคารกรุงไทย เพิ่งเริ่มดำเนินการมา 2 ปี และคาดว่าปีหน้าช่องทางดังกล่าวโต 50% และมีสัดส่วนรายได้ 1-2% ของรายได้รวม ที่เหลือ 98-99% มาจากเคาน์เตอร์
สำหรับสภาพตลาดเครื่องประดับเพชร มูลค่า 6,744 ล้านบาท ในปีหน้าคาดว่า ตลาดมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่วนราคาเครื่องประดับเพชร มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นตามมูลค่า อาทิ 1 กะรัต ราคาปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-5% และ 4-5 กะรัต ปรับเพิ่มขึ้น 7-10% โดยผลประกอบการปีหน้าบริษัทตั้งเป้าเติบโต 20% ใกล้เคียงกับปีนี้ จากกำไรสุทธิในช่วง 2 ไตรมาสแรก เติบโต 8.8% และคาดว่าทั้งปีเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
นางสาวอัญรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดเครื่องประดับเพชรในประเทศไทย ยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการตลาดในเชิงรุกบริษัทตั้งเป้าปีหน้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 10% เป็น 12-13% ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และในอนาคตวางแผนแตกโปรดักส์ไลน์กลุ่มหยก และพลอย