หุ้นไทยยืนแดนลบ ลดลง 8.02 จุด ปิดที่ 677.22 จุด สอดคล้องตลาดหุ้นเอเชียที่ร่วงกันถ้วนหน้า เหตุทั่วโลกเริ่มไม่มั่นใจ วิกฤตเศรษฐกิจโลกคลี่คลาย หลังสถาบันการเงินในสหรัฐฯ “ซีไอที กรุ๊ป อิงค์” ล้มละลาย สะท้อนถึงปัญหาที่มีอยู่ยังไม่จบสิ้น อีกทั้งราคาน้ำมันหดตัว แถม ปตท.สผ.เผชิญเคราะห์ร้าย แหล่งน้ำมันในออสเตรเลียไฟไหม้ กดดันกลุ่มพลังงานดิ่งแรง ล่าสุดต่างชาติขายออก 2พันล้าน สถาบันก็เททิ้ง 1.6 พันล้านบาท ด้านประธานบอร์ดตลท.ยืนยัน หุ้นตกไม่เกี่ยวข้องจับคนปล่อยข่าวลือ ส่วนวันนี้ยังต้องจับตาปัจจัยภายนอกประเทศ
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (2 พ.ย.) ยืนอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าลดลงกว่า 15 จุด ขณะที่ช่วงบ่ายมีแรงซื้อเข้ามาบ้าง ทำให้ดัชนีสามารถกลับขึ้นมาเล็กน้อยโดยปิดที่ระดับ 677.22 จุด ลดลง 8.02 จุด หรือ -1.17% มูลค่าการซื้อขาย 20,208.23 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 677.22 จุด และต่ำสุดที่ 667.52จุด
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองถึงสาเหตุการปรับตัวลดลงในครั้งนี้ ว่า น่าจะมาจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ ที่เหมือนกันในตลาดภูมิภาคซึ่งปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มหลักในหมวดพลังงาน PTTEP ก็เผชิญปัญหาไฟไหม้ ที่แหล่งมอนทารา ออสเตรเลีย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างมากด้วย
**ประเดิมแยกพอร์ต บล.ขายสุทธิ 121 ล.
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า วานนี้เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเป็นรายวันของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ให้รับทราบว่า บล.มีการขายสุทธิ 121.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทมุนต่างชาติขายสุทธิถึง 2,031.49 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ขายสุทธิ 1,661.58 ล้านบาท จึงมีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อสุทธิ 3,815.04 ล้านบาท
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่พบว่า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อาทิ ดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,645.43 จุด ลดลง 5.70 จุด หรือ -0.22% ดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,371.64 จุด เพิ่มขึ้น 3.94 จุด หรือ 0.17% ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,620.19 จุด ลดลง 132.68 จุด หรือ -0.61%
**ประธานบอร์ด ตลท.ย้ำหุ้นตกไม่เกี่ยวข้องข่าวลือ
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวานนี้ (2 พ.ย.) ที่มีการปรับตัวลดลงแรงกว่า 2% เนื่องจากเป็นการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลงทั้งหมด และการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงทำให้ราคาหุ้นพลังงานซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีของตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลง จึงทำให้ตลาดหุ้นในภาพรวมลงแรงไปด้วย ซึ่งไม่ได้เกิดจากความตื่นตระหนกหรือเกี่ยวกับการจับผู้แพร่ข่าวลือในตลาดหลักทรัพย์ 2 คน ที่เป็นมาร์เก็ตติ้งของ บล.เคทีซีมิโก้และอดีตเทรดเดอร์ของ บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย)
ดังนั้น นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอยากให้ใช้ความรอบคอบในการพิจารณาลงทุน โดยให้เชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศและพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน ที่มีสัญญานการปรับตัวในทิศทางเชิงบวก หลังพบว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3/52 มีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมก็ดีขึ้นด้วย
**โกลเบล็กชี้ระยะสั้นปรับฐาน 650-680 จุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 650-680 จุด ในช่วงก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากความกังวลว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการชะลอการซื้อขายและหยุดการซื้อขายในช่วงดังกล่าว หลังจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้เข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าในช่วงสิ้นปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาอยู่ที่ระดับ 720-750 จุด เพราะจะมีแรงซื้อจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะเข้ามาซื้อหุ้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง รับปัจจัยลบจากภายนอกประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ เป็นไปตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มน้ำมันก็รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงด้วย อีกทั้งคาดว่าต่างชาติยังคงขายสุทธิอยู่ และหุ้น PTTEP ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ก็เจอปัจจัยลบจากไฟไหม้ทำให้ราคาหุ้น PTTEP ปรับตัวลงค่อนข้างมากด้วย
โดยปัจจัยที่ยังน่าจับตามอง คือ เรื่องของมาบตาพุด ซึ่งตอนนี้กำลังรอดูผลการไต่สวนของศาลอยู่ว่าจะออกมาซ้ำเติมการลงทุนให้เป็นลบมากขึ้นหรือไม่ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3 พ.ย.) มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะผันผวนในระหว่างเทรดได้ แต่ตลาดฯก็มีโอกาสดีดกลับขึ้นไปได้หากคืนนี้ดาวโจนส์กลับมาปรับตัวดีขึ้น พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 670, 666 จุด แนวต้าน 690,700 จุด
**อเบอร์ดีนชี้ “ซีไอที” ล้มวิกฤตการเงินยังอยู่**
น.ส.รัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ไทย) จำกัด กล่าวถึง การล้มละลายของ ซีไอที กรุ๊ป อิงค์ (CIT Group Inc) สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของสหรัฐฯว่า สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินนั้นยังคงมีอยู่แม้ว่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วขณะเดียวกันยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีสถาบันการเงินล้มละลายต่อมาอีกหรือไม่ เพราะเงินที่รัฐบาลสหรัฐฯเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการเข้าไปช่วยเหลือในบางส่วนเท่านั้น จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มากนักส่วนผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นไทยนั้น ก็ยังคงมีอยู่แต่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศด้วยเช่นกัน
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (2 พ.ย.) ยืนอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าลดลงกว่า 15 จุด ขณะที่ช่วงบ่ายมีแรงซื้อเข้ามาบ้าง ทำให้ดัชนีสามารถกลับขึ้นมาเล็กน้อยโดยปิดที่ระดับ 677.22 จุด ลดลง 8.02 จุด หรือ -1.17% มูลค่าการซื้อขาย 20,208.23 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 677.22 จุด และต่ำสุดที่ 667.52จุด
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองถึงสาเหตุการปรับตัวลดลงในครั้งนี้ ว่า น่าจะมาจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ ที่เหมือนกันในตลาดภูมิภาคซึ่งปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มหลักในหมวดพลังงาน PTTEP ก็เผชิญปัญหาไฟไหม้ ที่แหล่งมอนทารา ออสเตรเลีย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างมากด้วย
**ประเดิมแยกพอร์ต บล.ขายสุทธิ 121 ล.
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า วานนี้เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเป็นรายวันของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ให้รับทราบว่า บล.มีการขายสุทธิ 121.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทมุนต่างชาติขายสุทธิถึง 2,031.49 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ขายสุทธิ 1,661.58 ล้านบาท จึงมีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อสุทธิ 3,815.04 ล้านบาท
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่พบว่า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อาทิ ดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,645.43 จุด ลดลง 5.70 จุด หรือ -0.22% ดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,371.64 จุด เพิ่มขึ้น 3.94 จุด หรือ 0.17% ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,620.19 จุด ลดลง 132.68 จุด หรือ -0.61%
**ประธานบอร์ด ตลท.ย้ำหุ้นตกไม่เกี่ยวข้องข่าวลือ
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวานนี้ (2 พ.ย.) ที่มีการปรับตัวลดลงแรงกว่า 2% เนื่องจากเป็นการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลงทั้งหมด และการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงทำให้ราคาหุ้นพลังงานซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีของตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลง จึงทำให้ตลาดหุ้นในภาพรวมลงแรงไปด้วย ซึ่งไม่ได้เกิดจากความตื่นตระหนกหรือเกี่ยวกับการจับผู้แพร่ข่าวลือในตลาดหลักทรัพย์ 2 คน ที่เป็นมาร์เก็ตติ้งของ บล.เคทีซีมิโก้และอดีตเทรดเดอร์ของ บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย)
ดังนั้น นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอยากให้ใช้ความรอบคอบในการพิจารณาลงทุน โดยให้เชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศและพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน ที่มีสัญญานการปรับตัวในทิศทางเชิงบวก หลังพบว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3/52 มีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมก็ดีขึ้นด้วย
**โกลเบล็กชี้ระยะสั้นปรับฐาน 650-680 จุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 650-680 จุด ในช่วงก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากความกังวลว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการชะลอการซื้อขายและหยุดการซื้อขายในช่วงดังกล่าว หลังจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้เข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าในช่วงสิ้นปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาอยู่ที่ระดับ 720-750 จุด เพราะจะมีแรงซื้อจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะเข้ามาซื้อหุ้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง รับปัจจัยลบจากภายนอกประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ เป็นไปตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มน้ำมันก็รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงด้วย อีกทั้งคาดว่าต่างชาติยังคงขายสุทธิอยู่ และหุ้น PTTEP ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ก็เจอปัจจัยลบจากไฟไหม้ทำให้ราคาหุ้น PTTEP ปรับตัวลงค่อนข้างมากด้วย
โดยปัจจัยที่ยังน่าจับตามอง คือ เรื่องของมาบตาพุด ซึ่งตอนนี้กำลังรอดูผลการไต่สวนของศาลอยู่ว่าจะออกมาซ้ำเติมการลงทุนให้เป็นลบมากขึ้นหรือไม่ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3 พ.ย.) มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะผันผวนในระหว่างเทรดได้ แต่ตลาดฯก็มีโอกาสดีดกลับขึ้นไปได้หากคืนนี้ดาวโจนส์กลับมาปรับตัวดีขึ้น พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 670, 666 จุด แนวต้าน 690,700 จุด
**อเบอร์ดีนชี้ “ซีไอที” ล้มวิกฤตการเงินยังอยู่**
น.ส.รัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ไทย) จำกัด กล่าวถึง การล้มละลายของ ซีไอที กรุ๊ป อิงค์ (CIT Group Inc) สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของสหรัฐฯว่า สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินนั้นยังคงมีอยู่แม้ว่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วขณะเดียวกันยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีสถาบันการเงินล้มละลายต่อมาอีกหรือไม่ เพราะเงินที่รัฐบาลสหรัฐฯเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการเข้าไปช่วยเหลือในบางส่วนเท่านั้น จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มากนักส่วนผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นไทยนั้น ก็ยังคงมีอยู่แต่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศด้วยเช่นกัน