กรุงไทย-แอกซ่า โชว์กำไร 9 เดือนแรก โต 162% จากเบี้ยประกันรวมที่โตขึ้นถึง 135% และการบริหารการลงทุนที่ดี พร้อมลุยต่อในช่วงที่เหลือของปี เน้นขายผ่านสาขากรุงไทย
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต จำกัด กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ว่า บริษัทมีกำไรจำนวน 691 ล้านบาท เติบโต 162% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันรับรวมทั้งหมด 8,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135% เป็นเบี้ยปีแรกที่มาจากทุกช่องทางการจำหน่ายทั้งสิ้น 3,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เบี้ยรับส่วนใหญ่มาจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีการเจริญเติบโตสูงมาก โดยยอดขายจากธุรกิจใหม่มาจากช่องทางการรับจำหน่ายผ่านธนาคาร 49% จากตัวแทน 46% และช่องทางอื่นๆ 5%
สำหรับเป้าหมายจากนี้ไปในช่วงที่เหลือของปี บริษัทจะยึดหลักการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ ซึ่งผลกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจประกันที่เติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการบริหารการลงทุนที่ดี
“บริษัทมั่นใจว่า ทั้งในส่วนของเบี้ยประกันรับรวม และเบี้ยประกันปีแรกจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยบริษัทได้รุกธุรกิจผ่านช่องทางการตลาดที่เน้นจุดยืนให้ตัวแทนเข้าใกล้ชิดกับลูกค้า และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพให้แก่ลูกค้า เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรผ่านการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า นอกจากนี้ ฝ่ายขายก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโต โดยจะเน้นรุกตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งการผ่านช่องทางการขายผ่านธนาคารกรุงไทย โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีที่ปรึกษาทางการเงินในทุกสาขาของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่กว่า 800 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งจะเน้นพัฒนาตัวแทนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและมองหาตัวแทนใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงาน” นายไมค์ กล่าว
ด้าน นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า ด้านพอร์ตการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 ที่มีมูลค่าพอร์ตลงทุนอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนในการลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก มีจำนวนเพียง 17% ที่ลงทุนในหุ้นกู้เอกชน และ 5-6% ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม โดยบริษัทจะรักษาระดับการลงทุนดังกล่าวเอาไว้ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่จะคงไว้ในระดับ 5-6% เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงมากนัก
ขณะที่สถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่มั่นคงมาก โดยมีเงินสำรองประกันภัยสูงกว่าระดับมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ถึง 6 เท่า ดังนั้น ผู้ถือกรมธรรม์จะสามารถไว้ใจในสถานการเงินของบริษัทได้
**ซิกน่าปลื้มยอดขายโต 80%**
นายแกรี่ เวนย์ เด็นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มีเบี้ยประกันภัยสุทธิ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2552 รวม 214.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ ปี 2551 ที่มีเบี้ยประกันภัยสุทธิอยู่ที่ 72.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 196% และเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยสุทธิ ของบริษัท ณ สิ้นปี 2551 ที่มีเบี้ยรับสุทธิ อยู่ที่ 118 ล้านบาท ถือเป็นอัตราส่วนที่เติบโตขึ้น 81.5%
“ปัจจัยที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในด้านยอดขายหลังจากที่บุกตลาดอย่างจริงจังตั้งแต่ปีที่แล้วคือ การที่บริษัทได้ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ 3 ปีที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยการสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากบริษัทประกันภัยอื่นเนื่องจากโมเดลทางธุรกิจของซิกน่า คือ การตลาดเชิงความสัมพันธ์ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือ affinity partnership ดังนั้น จำนวนพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partners) ที่ตอบรับเลือกซิกน่าให้เป็นผู้นำเสนอความคุ้มครองด้านประกันภัยให้แก่สมาชิกของเขา จึงมีความสำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจของเราเป็นอย่างมาก”
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต จำกัด กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ว่า บริษัทมีกำไรจำนวน 691 ล้านบาท เติบโต 162% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันรับรวมทั้งหมด 8,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135% เป็นเบี้ยปีแรกที่มาจากทุกช่องทางการจำหน่ายทั้งสิ้น 3,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เบี้ยรับส่วนใหญ่มาจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีการเจริญเติบโตสูงมาก โดยยอดขายจากธุรกิจใหม่มาจากช่องทางการรับจำหน่ายผ่านธนาคาร 49% จากตัวแทน 46% และช่องทางอื่นๆ 5%
สำหรับเป้าหมายจากนี้ไปในช่วงที่เหลือของปี บริษัทจะยึดหลักการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ ซึ่งผลกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจประกันที่เติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการบริหารการลงทุนที่ดี
“บริษัทมั่นใจว่า ทั้งในส่วนของเบี้ยประกันรับรวม และเบี้ยประกันปีแรกจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยบริษัทได้รุกธุรกิจผ่านช่องทางการตลาดที่เน้นจุดยืนให้ตัวแทนเข้าใกล้ชิดกับลูกค้า และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพให้แก่ลูกค้า เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรผ่านการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า นอกจากนี้ ฝ่ายขายก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโต โดยจะเน้นรุกตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งการผ่านช่องทางการขายผ่านธนาคารกรุงไทย โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีที่ปรึกษาทางการเงินในทุกสาขาของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่กว่า 800 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งจะเน้นพัฒนาตัวแทนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและมองหาตัวแทนใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงาน” นายไมค์ กล่าว
ด้าน นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า ด้านพอร์ตการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 ที่มีมูลค่าพอร์ตลงทุนอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนในการลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก มีจำนวนเพียง 17% ที่ลงทุนในหุ้นกู้เอกชน และ 5-6% ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม โดยบริษัทจะรักษาระดับการลงทุนดังกล่าวเอาไว้ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่จะคงไว้ในระดับ 5-6% เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงมากนัก
ขณะที่สถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่มั่นคงมาก โดยมีเงินสำรองประกันภัยสูงกว่าระดับมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ถึง 6 เท่า ดังนั้น ผู้ถือกรมธรรม์จะสามารถไว้ใจในสถานการเงินของบริษัทได้
**ซิกน่าปลื้มยอดขายโต 80%**
นายแกรี่ เวนย์ เด็นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มีเบี้ยประกันภัยสุทธิ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2552 รวม 214.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ ปี 2551 ที่มีเบี้ยประกันภัยสุทธิอยู่ที่ 72.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 196% และเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยสุทธิ ของบริษัท ณ สิ้นปี 2551 ที่มีเบี้ยรับสุทธิ อยู่ที่ 118 ล้านบาท ถือเป็นอัตราส่วนที่เติบโตขึ้น 81.5%
“ปัจจัยที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในด้านยอดขายหลังจากที่บุกตลาดอย่างจริงจังตั้งแต่ปีที่แล้วคือ การที่บริษัทได้ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ 3 ปีที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยการสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากบริษัทประกันภัยอื่นเนื่องจากโมเดลทางธุรกิจของซิกน่า คือ การตลาดเชิงความสัมพันธ์ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือ affinity partnership ดังนั้น จำนวนพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partners) ที่ตอบรับเลือกซิกน่าให้เป็นผู้นำเสนอความคุ้มครองด้านประกันภัยให้แก่สมาชิกของเขา จึงมีความสำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจของเราเป็นอย่างมาก”