xs
xsm
sm
md
lg

บล.ดิ้นควบกิจการปี53 เซ่นค่าคอมมิชชันใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกสมาคมโบรกเกอร์ ฟันธงครึ่งหลังปี 53 ได้เห็นโบรกเกอร์ควบรวมกิจการกันมากขึ้น หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มใช้ค่าคอมมิชชันแบบขั้นบันได บวกกับตลาดหุ้นยังผันผวนจนส่งผลให้มาร์เกตแคปไปไม่ถึงเป้าตลาดหุ้นที่ 12 ล้านล้านบาทในปี 56 พร้อมเรียกประชุมสมาชิกทบทวนข้อเสนอปรับค่าคอมมิชชันขั้นบันไดใหม่ 15 ต.ค. 52 ก่อนยื่นให้บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ขาด 20 ต.ค.นี้

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เปิดเผยถึง แนวโน้มการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในอนาคต ว่า นับจากนี้การดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์จะทำได้ลำบากมากยิ่งขึ้น จากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ไม่สามารถปรับตัวเพิ่มตามเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 12 ล้านล้านบาทในปี 2556 ได้ หลังจากที่มาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยเคยปรับตัวแตะระดับสูงสุดประมาณ 7 ล้านล้านบาท และต่ำสุดประมาณ 3 ล้านล้านบาท

จากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน บวกกับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียนการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดในปี 2553 ก่อนจะเปิดเสรีเต็มรูปแบบในปี 2555 นั้น จะส่งผลทำให้รายได้จากการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ลดลงประมาณ 20% ดังนั้นบริษัทหลักทรัพย์จะต้องเริ่มปรับกลยุทธ์การดำเนินอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องหารายได้อื่นๆ เข้ามาทดแทนรายได้หลักจากค่าธรรมเนียนในการซื้อขายหลักทรัพย์

นายกัมปนาท กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 บริษัทหลักทรัพย์อาจจะมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น หลังจากรับทราบผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอมมิชชันในช่วงต้นปี ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทที่เข้มแข็งเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ ขณะที่บริษัทที่ได้รับผลกระทบจะพิจารณาและตัดสินใจหาพันธมิตรเข้ามาเสริมธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาโบรกเกอร์หลายแห่งอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวม แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ โดยปัจจุบันมีบริษัทหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาประมาณ 10 แห่ง

“ช่วงต้นปี (ม.ค.-มิ.ย.) จะเป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่ง-อ่อนแอของโบรกเกอร์ จากการปรับเปลี่ยนค่าคอมมิชชัน หากบล.ที่อ่อนแอ ไม่สามารถอยู่ได้ จะต้องมีการควบรวมกิจการ ทำให้โบรกเกอร์เจรจาและตัดสินใจควบรวมได้ง่ายขึ้น”

สำหรับรูปแบบการควบรวมกิจการนั้น นายกัปนาท กล่าวว่า โบรกเกอร์ทุกแห่งอาจจะต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ โบรกเกอร์ต่างประเทศ รวมถึงโบรกเกอร์ขนาดเล็กที่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำกว่า 2% เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่บล.ทรีนิตี้เอง กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก จากปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าต่ำประมาณ 1.4 หมื่นบัญชี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่ 1.39 หมื่นบัญชี

ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องค่าคอมมิชชั่นนั้น ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จะประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอที่ต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทบทวนค่าคอมมิชชันขั้นบันไดใหม่ โดยสมาคมฯ เสนอให้ปรับเพิ่มมูลค่าการซื้อขายเพิ่มเป็น 5 ล้านบาท คิดค่าคอมมิชชัน 0.25% จากเดิม 1 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้โบรกเกอร์มีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นรายย่อยได้สัดส่วน 30% ส่วนการคิดค่าคอมมิชชันกับลูกค้าสถาบันในประเทศและต่างประเทศจะขอให้มีการคิดอัตราเดียว ซึ่งสมาคมโบรกเกอร์เสนอไปให้เก็บ 0.25% ส่วนสมาคมโบรกเกอร์ต่างชาติเสนอที่ 0.22% และสมาคมบลจ.เสนอ 0.15%

พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอให้ทบทวนเรื่องการจ่ายผลตอบแทนตามมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ (Incentive) ให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) กรณีที่มาร์เกตติ้งมีลูกค้ามีการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเองขอให้มีการจ่าย Incentive กรณีลูกค้าที่ยังใช้บริการกับมาร์เกตติ้งในเรื่องการให้คำแนะนำ โดยเรื่องดังล่าวจะให้นักลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจ และการจ่าย Incentive ให้กับมาร์เกตติ้งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศว่าปีหน้าจะให้มีการจ่ายIncentiveอัตรา 75% ในแต่ละเดือน ส่วนอีก 25% ให้โบรกเกอร์พิจารณาว่าผลงานของมาร์เกตติ้งและจะจ่ายได้ปีละ 2 ครั้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะกระทบต่อรายได้ของมาร์เกตติ้ง

อย่างไรก็ตาม หากมีสมาชิกมีความเห็นต่างไปจากที่สมาคมโบรกเกอร์นั้น จะมีการนำเรื่องเสนอไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ เพื่อสรุปการคิดค่าคอมมิชชันขั้นบันได เพื่อให้โบรกเกอร์มีเวลาในการปรับตัว ก่อนจะจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2553
กำลังโหลดความคิดเห็น