ครบรอบ 19 ขวบ “เอไอเอส” วันนี้ กำลังเดินถึงจุดตกต่ำสุดขีด “วิเชียร เมฆตระการ” ผู้บริหารใหม่ถอดด้าม ADVANC ประกาศทุ่มหมดหน้าตัก ลุยไลเซ่น 3G พร้อมโดดเข้าประมูลทันที หาก กทช.ไฟเขียว ขณะที่สัมปทาน 2G และสัมปทานระบบ 900 ที่เคยฟันกำไรนับแสนล้านในอดีต กำลังเป็นตำนานที่ร่วงโรย และหมดอายุลงในอีก 4-5 ปีข้างหน้า
นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าเจ้าหน้าที่คณะผู้บริหาร (Chief Executive Officer) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2552 ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปิดงบบัญชี อีกทั้งต้องแจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก่อนด้วย
ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงประมาณการรายได้อาจทรงตัว ถึงติดลบ 3% จากปีก่อน แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นก็ตาม เนื่องจากต้องดูสถานการณ์ต่างๆประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าจำนวนเลขหมายใหม่ในปีนี้ ประมาณ 50% ของลูกค้าใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2552 ของ ADVANC อยู่ที่ 4,197 ล้านบาท ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายไม่รวม (IC) ของโพสต์เพด อยู่ที่ 645 บาทต่อเดือน ส่วนพรีเพด อยู่ที่ 232 บาทต่อเดือน
สำหรับแผนการประมูล 3G บนคลื่น 2.1 GHz บริษัทฯ ก็มีความพร้อมในการเข้าประมูลทันที หากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) พร้อมเปิดประมูลไลเซนส์ให้ผู้ประกอบการมือถือเข้าประมูล โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านเอาไว้แล้ว
โดยวันที่ 1 ตุลาคม 2552 (วันนี้) เอไอเอส ผู้นำธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศ ได้ดำเนินกิจการครบ 19 ปี ซึ่งนายวิเชียร ได้เข้ามารับตำปหน่งซีอีโอ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเข้ามาในช่วงที่ผลการดำเนินงานของเอไอเอส หรือ ADVANC ทีกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งวิกฤตที่สุด
นายวิเชียร ยอมรับว่า ในอีก 5-6 ปีจากนี้ สัญญาสัมปทานการใช้เคลื่อนความถี่ 900 ที่ทำไว้กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จะสิ้นสุดลง บริษัทจะต้องทำอย่างไรกับธุรกิจ ต้องมองหาลู่ทางเตรียมทางออกในการขยายและดำเนินธุรกิจในอนาคต
ดังนั้น 3G จึงถือเป็นทางออกสำคัญ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กำลังดำเนินการประมูลไลน์เซ่น 3G บนเคลื่อนความถี่ 2.1 MHz คาดว่า พร้อมเปิดให้มีการประมูลในราวปลายปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทได้ทำการศึกษาและเตรียมการดำเนินงานให้บริการ 3G นี้ โดยช่วง 3 ปีแรกต้องใช้งบประมาณในการลงทุน 7.5 หมื่นล้านบาท และจากการลงทุนที่ค่อนข้างสูง บริษัทจำเป็นต้องวางแนวทางกำหนดนโยบายในการดำเนินงานนับจากนี้เป็นรูปธรรม อย่างน้อยเพื่อเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจของเอไอเอสในอนาคตว่า จะเดินต่อไปอย่างไร
