“จรัญ” ชี้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ถือเป็นจุดเปลี่ยนความเป็นธรรมการค้า “ผู้ผลิต-ผู้บริโภค” ที่สมดุล พร้อมระบุ ยังมีร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับ เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีเนื้อหาสาระพร้อมแล้ว รอรัฐบาลชี้ชะตา นำเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ ขณะที่หลายฝ่ายยืนยัน การสัมมนาครบ 1 ปี การใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ช่วยคุ้มครองผู้บริโภคได้มากขึ้น
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวในงานสัมมนาบทเรียน 1 ปี การใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค โดยระบุว่า พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ที่มีอายุ 1 ปีแล้ว มีศักยภาพมาก จากเดิมมีการฟ้องร้องผู้บริโภค จากผู้ประกอบการเพียงฝ่ายเดียว ทำให้มีการฟ้องร้องจากฝ่ายผู้บริโภคบ้าง แม้จะมีสัดส่วนน้อย เพียงร้อยละ 4-5 ของคดีเกี่ยวกับคดีผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังดีกว่าแต่ก่อนที่ผู้บริโภคเป็นฝ่ายถูกฟ้องฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า เพราะการเอาภาระไปไว้ที่ศาลเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างใดๆ ผู้ประกอบการที่ยังละเมิดผู้บริโภคก็ยังคงทำไป เพราะกฎหมายไม่ได้ลงโทษฝ่ายบริหารโดยตรง
"ความเป็นจริงแล้วยังมีกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้บริโภคอีกที่กำลังรอการพิจารณา ขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมืองว่าจะผลักดันกฎหมายเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติเมื่อไหร่ เพราะขณะนี้เนื้อหาสาระพร้อมรอมา 5-6 ปีแล้ว ได้แก่ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ปี 2522 ฉบับแก้ไข พ.ศ......ซึ่งมีเนื้อหาสาระให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ไปดูการประกอบธุรกิจการค้าที่ไม่เป็นธรรมได้ด้วย และอีก 1 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การดำเนินคดีแบบกลุ่ม ทำให้สามารถดำเนินคดีกับผู้ประกอบการในสินค้าประเภทเดียวกันได้ในเวลาเดียวกัน เป็นต้น"
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า 1 ปีที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 บังคับใช้นั้น มีข้อดีมากมาย อาทิ ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนด้วยวาจาเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีทนาย ไม่ต้องจ่ายสตางค์ ซึ่งเดิมจะมีค่าใช้จ่ายในการวางศาล มีขั้นตอนที่รวดเร็วขึ้น จากอดีตเคยมีการทำคดีถึง 7 ปี
ปัจจุบันมีคดีที่ตัดสินรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน และสามารถคุ้มครองผู้บริโภคก่อนที่จะมีคำพิพากษาของศาลได้ อาทิ หากผู้บริโภครู้สึกว่า สินค้าหรือบริการนั้นไม่ปลอดภัย สามารถขออำนาจศาลคุ้มครองได้ก่อน ที่จะมีการตัดสิน เป็นต้น
สำหรับการสัมมนาวันนี้ จัดขึ้น ณ ชั้น 27 อาคารพญาไทพลาซ่า มีประชาชน และผู้ทำงานเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคจำนวนมากเข้าร่วมฟัง
