xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ชี้บาทป่วน-การค้าดุ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ทหารไทย-เอ็กซิมแบงก์"เปิดมุมมองทิศทางการค้า ชี้แม้เศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการยังต้องรับความผันผวนอีก 3-5 ปี แนะรับมือ 2 ด้าน ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน และการพัฒนาประสิทธิภาพให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต บิ๊กเอ็กซิมแบงก์ย้ำควรให้นโยบายบาทอ่อนหนุนส่งออก

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวในงานเสวนา Thailand in the World Market 2009 ในหัวข้อ “ทิศทางการค้าระหว่างประเทศในมุมมองของ CEO”ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นหรือยัง เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบอยู่ โดยเฉพาะภาคการส่งออก แต่ผู้ประกอบการหลายรายก็มีการปรับตัวมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกที่ไม่ได้ไปยังตลาดสหรัฐฯเพียงอย่างเดียวเหมือนในช่วงที่ผ่านมา แต่ได้มีการกระจายสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆมากขึ้น

“การที่ผู้ประกอบการภาคการส่งออกมีการมองหาตลาดใหม่ๆ แถบตะวันออกกลาง เป็นสิ่งที่ดี เพราะตลาดสหรัฐฯยังมีความเปราะบาง และผู้ประกอบการควรระวังเรื่องความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย” นายณรงค์ชัย กล่าว

ทั้งนี้ มาตรการของภาครัฐที่ออกมาเพื่อช่วยผู้ประกอบการภาคการส่งออกนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ผลที่ออกมาไม่ค่อยได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จากกรณีทางเอ็กซิมแบงก์ได้ยื่นยขอเงินกู้ในงบประมาณไทยเข้มแข็งของรัฐบาล แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป รวมถึงข้อเสนอให้ทางการนำนโยบายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนมากระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่อ่อนค่า เพื่อช่วยให้ลูกค้าภาคการส่งออก ก็ยังไม่มีการใช้นโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่

สำหรับแนวคิดของรัฐบาลที่จะเสนอที่ประชุมอาเซียน +3 จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรัคเจอร์)ที่คาดว่าจะมีการเสนอในการประชุมอาเซียนบวก3 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 16 ก.ย. 2552 นั้น นายณรงค์ชัยกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ดีมาก แต่ยังคงติดกฎระเบียบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่กำหนดว่าเอกชนสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นวงเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และหากต้องแก้ไขกฎระเบียบดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทุนดังกล่าวนั้นเป็นกองทุนของรัฐบาลหรือเอกชน รวมถึงการจะนำเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยไปลงทุนยังคงมีกฎระเบียบอีกมาก

**แนะรับมือความผันผวนอีก3-5ปี**

ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(TMB) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจจะผ่านจุดต่ำสุด และเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่โจทย์ในขณะนี้อยู่ที่การเฝ้าระวังสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ที่แม้ว่าธนาคารขนาดใหญ่เริ่มดีขึ้น แต่ธนาคารขนาดเล็กยังประสบปัญหาอยู่โดยต้องจับตาว่าหากมีการระบายสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จะกระทบเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น จากนี้ไปเศรษฐกิจจะยังมีความผันผวน ดังนั้น ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องปรับตัวให้อยู่กับความผันผวนให้ได้ในระยะเวลาอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ ตัวแปรความผันผวนมีอยู่ 2 ประเด็น คือการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งผู้ประกอบการต้องหาวิธีในการป้องกันความเสี่ยง ทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ผู้ประกอบการควรมีการประกันความเสี่ยง และในด้านประสิทธิภาพการผลิตของโลก จากแนวโน้มปัจจุบันที่การผลิตจะไม่เน้นด้านปริมาณแต่มุ่งแข่งขันที่คุณภาพ ดังนั้นมองว่าผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงจึงจะสามารถอยู่ในความผันผวนได้

อย่างไรก็ตาม ธนาคารทหารไทยได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออก จึงได้พัฒนาระบบการให้บริการด้านการค้าระหว่างประเทศที่สมบูรณ์แบบขึ้น เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วย Solution ต่างๆโดยทางธนาคารได้ร่วมมือกับเอ็กซิมแบงก์อย่างจริงจังในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าส่งออก โดยหากลูกค้าใช้บริการ Export Credit Insurance กับทางเอ็กซิมแบงก์ลูกค้าสามารถใช้บริการด้าน Discount Invoice บนธุรกรรมการค้าที่ใช้เอกสารซึ่งไม่ใช่ L/C อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งวิธีการนี้ได้เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ประกอบการในการเพิ่มสภาพคล่องด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งเป็นการให้บริการสำหรับ D/A (Document against Acceptance) และ Open Account

**มั่นใจไอเอ็นจีไม่ขายทิ้งทหารไทย**

นายบุญทักษ์ยังกล่าวอีกว่าขณะนี้ธนาคารไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางธุรกิจ หรือเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวว่าไอเอ็นจี กรุ๊ปและกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของธนาคารจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารออกไป แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของความแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันเงินกองทุนของธนาคารอยู่ที่ระดับ 14% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอในการดำเนินธุรกิจในระยะสั้นและระยะกลาง อีกทั้งยังให้ความสำคัญด้านความสามารถในการทำกำไร และการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเป็นหลัก และธนาคารยังไม่มีแผนการที่จะทำการเพิ่มทุนแต่อย่างใด

“ตอนนี้เราเน้นเรื่องความแข็งแกร่งขององค์กรและระดับของเงินกองทุน ซึ่งเรื่องของพาร์ทเนอร์นั้นเป็นหน้าที่ของผู้ถือหุ้นว่าจะคิดอย่างไร การเปลี่ยนมือของผู้ถือหุ้นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ในแง่ของนโยบายทางธุรกิจของเราต้องเหมือนเดิม ซึ่งเราจะต้องอยู่ได้ด้วยตนเอง”นายบุญทักษ์ กล่าว

สำหรับกระแสข่าวเกี่ยวกับการที่ไอเอ็นจี กรุ๊ป จะมีการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไปนั้นเห็นว่า นโยบายของทางไอเอ็นจี กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งธุรกิจของ TMB ด้วย จึงเห็นว่าแม้ไอเอ็นจี กรุ๊ป จะมีการขายธุรกิจบางอย่างออกไปบ้าง แต่ในส่วนของธนาคารทหารไทยนั้นเชื่อว่า ไอเอ็นจี กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญอยู่

ส่วนการสรรหาบุคคลมารับตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแทนนายสถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธ์ นั้น คาดว่าจะสามารถแต่งตั้งประธานกรรมการธนาคารคนใหม่ได้ภายในเดือน ต.ค.52 นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอให้กระทรวงการคลังเสนอชื่อผู้จะมารับตำแหน่งดังกล่าว และหลังจากนั้นจะมีการประชุมของคณะกรรมการธนาคารเพื่อพิจารณาคุณสมบัติและแต่งตั้งต่อไป ซึ่งผู้ที่เหมาะสมก็ต้องให้ผู้ถือหุ้นใหญ่คือไอเอ็นจี และกระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกันก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น