xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนมั่นใจศก.-ปี53หุ้นไทยแตะ 750 จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทย มั่นใจเศรษฐกิจฟื้น ดันดัชนีหุ้นไทยปีหน้าแตะ 750 จุด ฉุดจีดีพีพลิกบวก 3% จับตา "การเมือง-กระแสเงินไหลเข้า" ตัวแปรสำคัญ แนะอย่าทิ้งหุ้น หรือทำกำไรบ่อยเกินเหตุ หวั่นระยะยาวไม่คุ้ม หากดัชนีเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ด้านกูรูเศรษฐกิจระบุ ฟื้นตัวรอบนี้ยังอยู่บนความเสี่ยง ห่วงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขาดตอน เตือนแมงเม่า ลงทุนด้วยความระมัดระวัง

นางสาวโศภนา เจนบวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยปีหน้าน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะดีดตัวขึ้นอยู่ในระดับ 750 จุดได้ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ เชื่อว่าน่าจะปรับตัวอยู่ในระดับ 600 ปลายๆ ถึง 700 จุด เนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ที่สะท้อนเข้ามาในตลาดหุ้นปลายปีนี้

สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2010 นั้นคาดว่าจะทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยกลับมาเป็นบวกได้ที่ 3% ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากที่บริษัทประมาณการณ์ไว้ -5% มาอยู่ที่ -3.5% ขณะที่การส่งออก และการท่องเที่ยวเองก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย โดยส่วนของการท่องเที่ยวยังจะต้องติดตามดูในช่วงปลายปีนี้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น

"ปีหน้าเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด และอย่างที่บอกว่าขอดูผลประกอบการไตรมาส 2 ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ดีกว่าคาดและน่าจะดีต่อเนื่อง หลังจากที่ทำสมมุติฐานไว้ต่ำมาก ต่อจากนี้คงต้องปรับประมาณการณ์กันใหม่ ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการปรับราคาหุ้นในอนาคต"นางสาวโศภนากล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการติดตามปัจจัยที่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นไทยในอนาคต ทั้งเรื่องของการเมือง ความผันผวนของค่าเงินสหรัฐที่ส่งผลต่อราคาน้ำมัน และกระแสทิศทางของตลาดหุ้นระยะสั้น รวมถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนส่งผลต่อการทำกำไรในระยะสั้น

"หุ้นบ้านเรามันจะขึ้นต่อได้แต่ยังมีความผันผวนอยู่ ซึ่งถ้าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังโตต่อจากปีนี้ในอัตราสัก 15% หุ้นไทยน่าจะไปได้ ส่วนการเมืองนั้นอาจมีผลกระทบในระยะสั้น โดยในระยะยาวจะต้องดูเรื่องการเลือกตั้งและผลของมันว่า จะมีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือความต่อเนื่องของนโยบายหรือไม่"นางสาวโสภนากล่าว

นางสาวโสภนา กล่าวอีกว่า สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งดีต่อประเทศไทยนั้น ปัจจุบันสถาการณ์เริ่มดีขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าเศรษฐโลกได้คลี่คลายจากภาวะถดถอยและปรับตัวดีขึ้นแล้ว โดยดัชนีบ่งชี้เศรษฐกิจเริ่มมีการปรับขึ้นจากระดับต่ำสุดสะสมมากขึ้น แต่ยังค่อนข้างเปราะบาง และมีโอกาสผันผวนเป็นระยะ ซึ่งประเทศจีนยังคงมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ชัดเจนที่สุดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่ประเทศสหรัฐและทวีปยุโรปจะทยอยปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น นางสาวโศภนา กล่าวว่า นักลงทุนควรเน้นสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ยังเป็นประเภททรัพย์สินที่น่าลงทุนในระยะยาว แต่ต้องระวังการใช้ Market Timing หรือการซื้อขายทำกำไรบ่อยครั้งเกินไป เนื่องจากอาจไม่คุ้มค่าในในภาวะตลาดขาขึ้นที่มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้น แม้มีบ้างช่วงผันผวนก็ตาม

นอกจากนี้ ควรทำการเลือกหุ้นที่จะเข้าลงทุน โดยจะต้องเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตั้วของเศรษฐกิจและการเติบโตของผลกำไรอย่างชัดเจน โดยหุ้นที่บริษัทเชื่อว่าจะได้รับผลดีดังกล่าวจะประกอบไปด้วยหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน วัสดุก่อสร้าง พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์

"ตอนนี้การเลือกหุ้นสำคัญ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะขายทำกำไรไม่ได้ เพราะหุ้นบางตัวราคามันเกินความจริงเหมือนกัน แต่มุมมองระยะยาวตอนนี้สำคัญกว่า ซึ่งน่าจะให้น้ำหนักกับการเลือกหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของเงินปันผล และราคาหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยอย่างพวกแบงก์ก็น่าจะดี และวัสดุก่อสร้างเองก็น่าจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของภาครัฐ และบ้านเองใช้ว่ายอดซื้อจะน้องแต่จริงแล้วไปดูเป็นรายตัวก็น่าจะดี ขณะที่ชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิกส์ก็น่าจะดีขึ้นจากการส่งออกหลังที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น"นางสาวโศภนากล่าว

**ห่วงแผนกระตุ้นศก.ขาดตอน**
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา หัวข้อ “ทิศทางตลาดหุ้น และการลงทุนครึ่งปีหลัง 2552” ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกในตอนนี้ได้มีการปรับตัวดีขึ้นแล้วทั้งโลก ทั้งในส่วนของประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่ยังไม่พัฒนา ในส่วนของประเทศไทยเอง ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็มีทิศทางที่ดีขึ้นตามต่างประเทศเช่นกัน ทั้งนี้ มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลที่ช่วยให้ภาคการบริโภคกลับมาดีขึ้น โดยจะเริ่มเห็นได้ตั้งช่วงไตรมาส2/52 และคาดว่ามาตรการต่างๆเหล่านี้จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวให้มีการโตอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนตัวประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าจะฟื้นตัวได้ที่ประมาณ 1.7%

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรอบนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินว่า เป็นการฟื้นตัวบนความเสี่ยง เนื่องจากมาตรการการใส่เงินกระตุ้นของรัฐบาลนั้น เป็นเพียงการประคับประคอง ซึ่งสิ่งที่จะตามมาในอนาคต อาจส่งผลให้เกิดปัญหาฟองสบู่ได้ หากไม่มีวิธีการใดที่จะเข้ามาต่อยอดในมาตรการแรกได้

ทั้งนี้ มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังภายใต้สถานการณ์ที่ยังทรงตัวสามารถไปได้ต่อ ตลาดหุ้นยังคงมีข่าวดีที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลาสะท้อนให้เห็นได้จากการปรับประมาณการณ์ดัชนีของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ล่าสุดที่มีการฟื้นขึ้นแบบตัววี (V shape) โดยกำไรต่อหุ้นของบจ.มีการปรับตัวขึ้น 40% และในปีหน้าคาดว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้อีก 16% เมื่อเทียบกับปีนี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวต่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระรอกนี้ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจคือ การฟื้นบนความเสี่ยงที่ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากเป็นการฟื้นเพียงช่วงเริ่มแรก ภายใต้ความกังวลที่ว่าจะมีการแทรกซ้อนของปัจจัยอื่นเข้ามากระทบหรือไม่ อีกทั้งการกระตุ้นของมาตรการต่างๆจะสามารถส่งผลดีให้ระบบเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดังเดิมหรือไม่

ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นที่ผ่านมาอาจจะมีการปรับตัวลงบ้างตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่ในช่วงหลังก็มีการปรับตัวดีขึ้นตามข่าวดีที่เข้าเช่นกัน เนื่องจากดัชนีนั้นจะมีความอ่อนไหวตามกระแสข่าวที่เข้ามากระทบ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องมีการผันผวนไปมาตามปัจจัยรอบด้าน แต่ในส่วนของดัชนีหุ้นไทยปัจจัยที่สำคัญขณะนี้ คือเรื่องการเมือง และเศรษฐกิจ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดังนั้น การลงทุนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนจึงควรจะระมัดระวัง และเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี สภาพคล่องสูง และให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างเช่นหุ้นใหญ่ 20 ตัวแรก

สำหรับในปีหน้า คาดว่าจะมีข่าวดีเข้ามาสนับสนุนการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยอยู่เรื่อยๆ โดยเรื่อที่น่าจับตามองคงเป็นในส่วนของผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

“เราต้องมองว่า หลังจากที่หมดมาตรการการกระตุ้นของรัฐบาลแล้ว จะมีสิ่งไหนที่จะมาทดแทนการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกบ้าง เพราะถ้าหากขาดปัจจัยการกระตุ้น การฟื้นตัวในช่วงแรกที่ผ่านมาคงไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริง เรื่องการส่งออกก็อาจช่วยได้บ้าง แต่ก็ยังไม่โดดเด่นมากนัก เรื่องข่าวดีทางเศรษฐกิจที่เข้ามาก็มีส่วนช่วยได้บ้างแต่ก็ยังไม่เด่นชัด ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งต่างๆเข้ามาช่วยกระตุ้นแต่ถ้าไม่ได้ทำอย่างถูกหลักจริงๆ มองว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวแต่คงไม่ได้กลับมาขยายตัวดีที่ 6% เหมือนก่อนหน้านี้”นายกอบศักดิ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น