ปธ.ตลาดหุ้นไทย คาดแนวโน้ม “จีดีพี” ไตรมาส 4 เป็นบวกได้ ตามสัญญาณการฟื้นตัวของ ศก.โลก พร้อมห่วง 2 ปัจจัยลบ กดดันการฟื้นตัว โดยเฉพาะปัญหาเสื้อแดงถวายฎีกา ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนปัญหาราคาน้ำมัน อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนบริษัทจดทะเบียน
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( ตลท.) กล่าวถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี 2552 โดยมองว่า มีแนวโน้มดีขึ้นตามสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมมั่นใจว่า จีดีพีในไตรมาส 4 จะเป็นบวกได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่ยังกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ คือสถานการณ์ทางการเมือง ที่ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และความมั่นคงในเสถียรภาพของรัฐบาล โดยจากการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติยังมีการสอบถามเกี่ยวปัญหาการเมืองในไทย ซึ่งเป็นจุดอ่อนหากเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่ไม่มีปัญหาการเมือง
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เพราะเชื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีโอกาสจะเกิน 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้น และราคาน้ำมันก็จะปรับขึ้นตาม ซึ่งราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมีผลต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น ต้องมีการบริหารจัดการให้ได้ เพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพของบริษัทลดลง
นายปกรณ์ กล่าวด้วยว่า จากการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมา อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ถึง 17,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในปริมาณที่น่าพอใจ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ เข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้น จึงทำให้ปริมาณการซื้อขายโดยรวมสูงขึ้น