ดัชนีหุ้นไทยแรงจัดพุ่งขึ้น17จุด สูงสุดในรอบ 13 เดือน ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 2 พันล้าน ดันมาร์เกตแคปทะลุ 5.09 ล้านล้านบาท “ภัทรียา”เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีDSI จัดทีมสอบปั่นหุ้น มั่นใจให้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ด้านโบรกฯชี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มตามตลาดอื่นๆในภูมิภาคที่รับข่าวดีจากตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศฟื้นตัว และราคาน้ำมัน แต่คาดวันนี้(4ส.ค.)อาจมีแรงเทขาย ส่วนภาพรวมยังดีดตัวขึ้นไปต่อ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3ส.ค.) ปิดที่ระดับ 641.43 จุด เพิ่มขึ้น 17.43 จุด หรือ +2.79% มูลค่าการซื้อขาย 24,636.79 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการปรับตัวของดัชนีในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่แดนบวก และเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่ วันที่ 15 มิถุนายน2551 ที่เคยทำไว้ 642.39 จุดรวมถึงการทำลายจุดสูงสุดของปีนี้ ที่อยู่ระดับ 628.55 จุดเมื่อ 12มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา
โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 641.43 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 626.97 จุด ด้านหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 248 หลักทรัพย์ ลดลง 78 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 112 หลักทรัพย์
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTมูลค่าการซื้อขาย 2,814.08 ล้านบาท ปิดที่ 248.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท BANPUมูลค่าการซื้อขาย 1,792.82 ล้านบาท ปิดที่ 394.00 บาท เพิ่มขึ้น 19.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,723.30 ล้านบาท ปิดที่ 142.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,385.16 ล้านบาท ปิดที่ 75.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท และSCC มูลค่าการซื้อขาย 1,383.63 ล้านบาท ปิดที่ 198.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 354.68 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิ 2,034.10 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิรวม 2,388.76 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดลหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 ส.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดของปี 2552 ที่ระดับ 641.43 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)แตะที่ระดับ 5.09 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดในปีนี้เช่นกัน ทั้งนี้คาดว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิ 2,034.10 ล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก นักลงทุนคาดว่าผลประกอบการไตรมาส2/52ที่จะประกาศออกมาจะดีกว่าในช่วงไตรมาส1/52 ประกอบกับจากข้อมูลของบลูมเบิร์กได้คาดการณ์อัตราราคาเทียบกับกำไรต่อหุ้น P/Eในอีก 12 เดือนข้างหน้าของไทยอยู่ที่ระดับ 10 เท่าซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวังการลงทุน และต้องติดตามข่าวสารข้อมูลต่างๆ เพราะ ตลาดหุ้นยังอาจมีปัจจัยลบเข้ามากระทบได้ และทิศทางตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ ถึงแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นก็ตาม
**โบรกฯเตือนวันนี้ระวังแรงเทขาย
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (3ส.ค.) พุ่งขึ้นกว่า 17 จุด ท่ามกลางสัญญาณบวกหลายอย่าง อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาระบุว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาส 2/52 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีเดียวกันที่มีแนวโน้มบวกเพิ่ม 2% และจีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 2/52 ที่หดตัวเพียงแค่ 1 % และถือว่าน้อยว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะหดตัว 1.5% นับเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงกำลังเริ่มทุเลาลง รวมทั้งราคาน้ำมันโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 69 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้(4ส.ค.) คาดว่าดัชนีหุ้นยังไปต่อได้อีก โดยนักลงทุนควรจับตาความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในส่วนของผู้มีหุ้น อยู่แล้วให้ควรทยอยขายหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้แนวต้านที่ระดับ 650 จุด ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนใหม่ให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยให้กรอบแนวรับที่ 635 จุด และแนวต้านที่ 650 จุด
ด้าน นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดัชนีหุ้นพุ่งแรงเกินคาด โดยภาพรวมตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกกัน ยกเว้นตลาดไต้หวันที่เป็นลบ ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียที่ตัวเลขหลาย ๆ ตัวออกมาในเวลาที่พร้อม ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ออกมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจากประเทศจีน อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็อ่อนค่าลงด้วย ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้ามาในตลาดภูมิภาค
“วานนี้ตลาดบ้านเรามีหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มวัสดุก่อสร้างขึ้นนำตลาดฯ นำโดยหุ้น SCC ส่วนปัจจัยทางด้านการเมืองไทยมีผลต่อตลาดฯ เพียงแต่คงจะต้องใช้เวลาสักระยะ ดังนั้นตอนนี้ตลาดหุ้นก็เลยวิ่งตามภูมิภาคไปก่อน ซึ่งก็ต้องระวังหากมีเรื่องของการเมืองเข้ามามาก ๆ ก็ต้อง take profit ไปก่อนเช่นกัน"
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(4 ส.ค.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งไซต์เวย์ อาจจะบวกได้แต่คงจะไม่แรงเท่ากับเมื่อวานที่ผ่านมา และนักลงทุนจะต้องระวังแรงขายทำกำไรด้วยเนื่องจากวานนี้ตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นไปมาก โดยให้แนวรับไว้ที่ 630 จุด แนวต้าน 640 จุด
**มั่นใจให้ครบมูลDSIครบถ้วน
ส่วนกรณีที่กรมทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ได้มีการจัดทีมสืบสวนคดีพิเศษในการสอบปั่นหุ้นรวม 5 พันล้านบาท จำนวน 96 ราย กรรมการและผู้จัดการตลท. ระบุว่า ขณะนี้ทาง DSIยังไม่ได้มีการขอข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่ม แต่เชื่อว่าที่ผ่านมาคงมีการขอข้อมูลไปแล้วเพราะ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องมีการทำงานร่วมกันหากDSIต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โดยส่วนตัวเชื่อว่าDSIน่าจะมีข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว ที่สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่ากรณีมีบล.เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ไม่สามารถเอาผิดบล.ได้นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า คงจะต้องกลับไปดูในเรื่องวิธีการส่งคำสั่งซื้อขาย เพราะ การส่งคำสั่งซื้อขายนั้นต้องผ่านบล. แต่อาจไม่ใช่บล.เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง
ดัชนีตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3ส.ค.) ปิดที่ระดับ 641.43 จุด เพิ่มขึ้น 17.43 จุด หรือ +2.79% มูลค่าการซื้อขาย 24,636.79 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการปรับตัวของดัชนีในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่แดนบวก และเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่ วันที่ 15 มิถุนายน2551 ที่เคยทำไว้ 642.39 จุดรวมถึงการทำลายจุดสูงสุดของปีนี้ ที่อยู่ระดับ 628.55 จุดเมื่อ 12มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา
โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 641.43 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 626.97 จุด ด้านหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 248 หลักทรัพย์ ลดลง 78 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 112 หลักทรัพย์
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTมูลค่าการซื้อขาย 2,814.08 ล้านบาท ปิดที่ 248.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท BANPUมูลค่าการซื้อขาย 1,792.82 ล้านบาท ปิดที่ 394.00 บาท เพิ่มขึ้น 19.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,723.30 ล้านบาท ปิดที่ 142.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,385.16 ล้านบาท ปิดที่ 75.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท และSCC มูลค่าการซื้อขาย 1,383.63 ล้านบาท ปิดที่ 198.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 354.68 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิ 2,034.10 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิรวม 2,388.76 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดลหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 ส.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดของปี 2552 ที่ระดับ 641.43 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)แตะที่ระดับ 5.09 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดในปีนี้เช่นกัน ทั้งนี้คาดว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิ 2,034.10 ล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก นักลงทุนคาดว่าผลประกอบการไตรมาส2/52ที่จะประกาศออกมาจะดีกว่าในช่วงไตรมาส1/52 ประกอบกับจากข้อมูลของบลูมเบิร์กได้คาดการณ์อัตราราคาเทียบกับกำไรต่อหุ้น P/Eในอีก 12 เดือนข้างหน้าของไทยอยู่ที่ระดับ 10 เท่าซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวังการลงทุน และต้องติดตามข่าวสารข้อมูลต่างๆ เพราะ ตลาดหุ้นยังอาจมีปัจจัยลบเข้ามากระทบได้ และทิศทางตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ ถึงแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นก็ตาม
**โบรกฯเตือนวันนี้ระวังแรงเทขาย
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (3ส.ค.) พุ่งขึ้นกว่า 17 จุด ท่ามกลางสัญญาณบวกหลายอย่าง อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาระบุว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาส 2/52 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีเดียวกันที่มีแนวโน้มบวกเพิ่ม 2% และจีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 2/52 ที่หดตัวเพียงแค่ 1 % และถือว่าน้อยว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะหดตัว 1.5% นับเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงกำลังเริ่มทุเลาลง รวมทั้งราคาน้ำมันโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 69 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้(4ส.ค.) คาดว่าดัชนีหุ้นยังไปต่อได้อีก โดยนักลงทุนควรจับตาความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในส่วนของผู้มีหุ้น อยู่แล้วให้ควรทยอยขายหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้แนวต้านที่ระดับ 650 จุด ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนใหม่ให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยให้กรอบแนวรับที่ 635 จุด และแนวต้านที่ 650 จุด
ด้าน นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดัชนีหุ้นพุ่งแรงเกินคาด โดยภาพรวมตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกกัน ยกเว้นตลาดไต้หวันที่เป็นลบ ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียที่ตัวเลขหลาย ๆ ตัวออกมาในเวลาที่พร้อม ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ออกมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจากประเทศจีน อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็อ่อนค่าลงด้วย ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้ามาในตลาดภูมิภาค
“วานนี้ตลาดบ้านเรามีหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มวัสดุก่อสร้างขึ้นนำตลาดฯ นำโดยหุ้น SCC ส่วนปัจจัยทางด้านการเมืองไทยมีผลต่อตลาดฯ เพียงแต่คงจะต้องใช้เวลาสักระยะ ดังนั้นตอนนี้ตลาดหุ้นก็เลยวิ่งตามภูมิภาคไปก่อน ซึ่งก็ต้องระวังหากมีเรื่องของการเมืองเข้ามามาก ๆ ก็ต้อง take profit ไปก่อนเช่นกัน"
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(4 ส.ค.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งไซต์เวย์ อาจจะบวกได้แต่คงจะไม่แรงเท่ากับเมื่อวานที่ผ่านมา และนักลงทุนจะต้องระวังแรงขายทำกำไรด้วยเนื่องจากวานนี้ตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นไปมาก โดยให้แนวรับไว้ที่ 630 จุด แนวต้าน 640 จุด
**มั่นใจให้ครบมูลDSIครบถ้วน
ส่วนกรณีที่กรมทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ได้มีการจัดทีมสืบสวนคดีพิเศษในการสอบปั่นหุ้นรวม 5 พันล้านบาท จำนวน 96 ราย กรรมการและผู้จัดการตลท. ระบุว่า ขณะนี้ทาง DSIยังไม่ได้มีการขอข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่ม แต่เชื่อว่าที่ผ่านมาคงมีการขอข้อมูลไปแล้วเพราะ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องมีการทำงานร่วมกันหากDSIต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โดยส่วนตัวเชื่อว่าDSIน่าจะมีข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว ที่สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่ากรณีมีบล.เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ไม่สามารถเอาผิดบล.ได้นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า คงจะต้องกลับไปดูในเรื่องวิธีการส่งคำสั่งซื้อขาย เพราะ การส่งคำสั่งซื้อขายนั้นต้องผ่านบล. แต่อาจไม่ใช่บล.เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง