xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯฟันธง Q3 ฝันร้ายหุ้นวูบ มองต่ำสุดแตะ 480 จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์ยังฟันธงไตรมาส 3 ปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยรูดลง มองต่ำสุดแตะ 480 จุด ก่อนเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 4 เหตุสภาพคล่องในระบบหดหาย ปริมาณการใช้พลังงานลดลงจากช่วงโลว์ซีซัน และการส่อเกิดสงครามของเกาหลีเหนือ อีกทั้งมีโอกาสที่ต่างชาติเทขายสุทธิเดือนละ 2,000 ล้าน แนะนักลงทุนเล่นตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นทั้งพลังงาน แบงก์ อาหาร สื่อสารส่วนปีหน้าแค่ไตรมาสแรกก็มีลุ้นแตะ 710 จุด

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังปี 2552 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 520-540 จุด หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมทั้งอาจเห็นดัชนีร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 480 จุด หากเกิดเหตุการณ์รุนแรง เช่น สงครามของประเทศเกาหลีเหนือ ฯลฯ

“ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ปีนี้ ดัชนีน่าปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่ใช่ช่วงฤดูของการท่องเที่ยว ส่งผลทำให้มีปริมาณการใช้พลังงานลดลงค่อนข้างมาก ดังนั้น จึงกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาคอมมูนิตีร่วงลง รวมทั้งการที่รัฐบาลจะเริ่มระดมทุนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

ซึ่งจะส่งผลกระทบให้สภาพคล่องในระบบหดหายไป และ P/E ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามในที่สุด นอกจากนี้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูฝนก็อาจมีผลโครงการหลายแห่งชะลอการก่อสร้างลงด้วยเช่นกัน”

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้นนักลงทุนควรเริ่มทยอยเก็บหุ้นในช่วงไตรมาส 3/52 สำหรับหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะกลางและยาว บนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ตามการคาดหมายของหลายฝ่าย โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มพลังงาน PTTEP, BANPU กลุ่มสื่อสาร ADVANC และกลุ่มธนาคาร KTB, BBL ที่ได้รับอานิสงส์จากการออกพันธบัตรระดมเม็ดเงินในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่หากต้องการเก็งกำไรระยะสั้นควรถือหลักทรัพย์ในพอร์ตการลงุทนเพียงแค่ 10-20% และต้องสามารถรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

ส่วนแนวโน้มการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2553 เชื่อว่า ในช่วงไตรมาสแรกน่าจะเห็นดัชนีวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 710 จุด อันเป็นผลได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิคต่างๆ เช่น window dressing ฯลฯ จนอาจทำให้เกิดแรงซื้อขายหุ้นอย่างคับคั่ง

ด้าน นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือ 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ดัชนีอาจหดตัวลงไปแตะที่ระดับ 480-520 จุดในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2552 สอดคล้องกับตลาดใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (DW) ของโลก และเชื่อว่า ในช่วงดังกล่าวน่าจะเห็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าประมาณ 5-10% และการระดมทุนของสถาบันการเงิน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวว่าดัชนีหุ้นไทยก็จะหยุดการปรับลดลงและเริ่มฟื้นตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรรอดูความชัดเจนเรื่องการเรียกคืนหนี้ของธนาคารกลางสหรัฐจากสถาบันการเงินในประเทศที่อาจมีผลต่อสถานะสถาบันเหล่านี้ ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันจนทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอีกรอบเพราะส่วนใหญ่จากวิกฤตที่เกิดขึ้นมักจะมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันซ้ำเป็นรอบสอง

ทั้งนี้ หลักทรัพย์ไทยที่น่าสนใจยังคงเป็นกลุ่มสื่อสาร วัสดุก่อสร้าง อาทิ DCC ที่มีการจ่ายปันผลสูง กลุ่มธุรกิจส่งออกอาหาร กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มอิเลกโทรนิกส์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่าดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 3/2552 เป็นช่วงของการปรับฐาน ซึ่งดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลงไปแตะที่ 514 จุด ภายใต้สถานการณ์ที่แย่ที่ สุดบนสมมติฐานที่นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายสุทธิ 2 พันล้านบาทต่อเดือน และจีดีพีในปีนี้คาดว่าจะติดลบ 3% โดยจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 3 เดือนนับจากนี้

นอกจากนี้ ยังประเมินดัชนีในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้มีโอกาปรับตัวแตะที่ระดับ 505 จุด และหากปลายปีนี้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น และมีความเสถียรมากกว่าขึ้น ก็คาดว่าดัชนีจะมีการรีบาวน์ขึ้นไปแต่จะไม่ทะลุที่ 680 จุด ดังนั้น สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จึงเหมาะแก่การลงทุนในระยะสั้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาที่ดัชนีมีการปรับตัวผันผวนมาตลอด ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร มีน้ำหนักในการขับเคลื่อนดัชนีสูงขึ้นไป โดยปัจจัยที่มีส่วนในการเข้ามากระตุ้นการปรับตัวของดัชนีคือเรื่องของราคาน้ำมัน และภาวะของดัชนีตลาดต่างประเทศ ขณะที่มี P/E สูงสุดอยู่ที่ 21 เท่า หากเทียบกับปีก่อนที่ดัชนี 900 จุด จะมี P/E อยู่ที่ 14-17 เท่า เท่านั้น

โดยกลยุทธ์ในช่วงที่หุ้นปรับตัวลง คือ ให้นักลงทุนเลือกลงทุนโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้น หากมีปริมาณการซื้อขายมาจากแรงเก็งกำไรก็มีโอกาสที่หุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรงได้ อีกทั้งการนำปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาประกอบการตัดสินใจ และการประเมินการปรับตัวของราคาโดยมองจากเหตุผลที่น่าเชื่อถือ

“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทยอยออกมาเรื่อยๆ เพื่อพยายามกระตุ้นภาคการใช้จ่ายให้เข้ามา ผมมองว่าเป็นเรื่องดี รวมถึงปัญหาการเมืองในประเทศก็ถือเป็นปัจจัยหลักที่มีส่วนช่วยผลักดันสถานการณ์ของตลาดให้เป็นไปในทิศทางที่ดีได้ เพราะถ้าเราดูจากที่ผ่านมาที่สถานการณ์การเมืองบ้านเราสงบนิ่งภาวะการลงทุนต่างๆก็ดีตามไปด้วย และผมมองว่าช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้ามา” นายธวัชชัย กล่าว

ด้าน นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด หรือ FSS เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่ดัชนีทั่วโลกจะมีการพักฐาน แต่ก่อนที่จะมีการพักฐานนั้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 600 จุดได้ และมีโอกาสปรับฐานที่ต่ำกว่าระดับ 550 จุด ซึ่งในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นพื้นฐานดีสะสมไว้ และคาดว่า ในอีก 3 เดือน ดัชนีมีโอกาสปรับฐานไปที่ระดับ 500-510 จุด

สำหรับหุ้นกลุ่มที่แนะนำ ได้แก่ หุ้นกลุ่มโทรคมนาคม ได้แก่ ADVANC และ DTAC ที่ได้รับผลประโยชน์จากระบบ 3G ที่จะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงทันทีจากเดิมที่ 6.5% เหลือเพียง 3-4% ของรายได้ โดยผู้ประกอบการจะมีการโอนลูกค้าออกจากระบบ 2G ไปสู่ระบบ 3G และคาดว่าโครงการระบบ 3G จะดำเนินงานเรียบร้อยภายในระยะเวลาภายในสิ้นปีนี้ และจะสามารถให้บริการได้กลางปีหน้า

โดยคาดว่าในช่วงปีแรกที่มีระบบ 3G รายได้จะโตประมาณ 1-3% ในปีที่ 2 จะโตประมาณ 10% และในปีที่ 3 จะโตประมาณ 10-30% โดยมองว่าทาง DTAC จะได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากการได้เปรียบในเรื่องของการจ่ายค่าสัปทานล่วงหน้าที่มีต้นทุนการทำธุรกิจอยู่ที่ 25-26% ซึ่งสูงกว่า ADVANC ที่มีต้นทุนอยู่ที่ 22%
อย่างไรก็ตาม ประเมินทิศทางตลาดหุ้นในปี 2553 คาดว่า ดัชนีมีโอกาสจะอยู่ที่ระดับ 730 จุด โดยมี EPS Growth อยู่ที่ 14-15% และ P/E จะอยู่ที่ 12 เท่า โดยกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรในปีหน้า คือ กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น