xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์” ฟุ้งสัญญาณ ศก.ฟื้น ยก 3 โพลฟันธงตรงกันพอดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยก 3 โพล ตัวเลขความเชื่อมั่น มิ.ย.ดีขึ้น คุยฟุ้งสัญญาณตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจฟื้นตัวชัด อ้างแบงก์ชาติ-คลัง-ตลาดทุน นำเสนอตัวเลขหนุนเศรษฐกิจโงหัว เชื่อ 3 เดือนต่อจากนี้ รัฐจัดเก็บรายได้กระฉูด เล็งเพิ่มช่องทางขายสินค้าโอท็อปผ่านรายการทุกวันอาทิตย์

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มมีสัญญาณที่ดีช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประมวลข้อมูลหลายอย่าง ซึ่งก็ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี ที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นจากการที่มีการไปสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงอุตสาหกรรม และแวดวงนักลงทุนก่อน มีงานสำรวจอยู่ 3 ชิ้น ที่คิดว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี งานแรกก็คือเป็นเรื่องของหอการค้าญี่ปุ่น เขาก็ไปสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการสัญชาติญี่ปุ่นในประเทศไทย

ทั้งนี้ ญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สิ่งที่ปรากฏออกมาชัดเจนจากการสำรวจ คือ ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการประกอบการในครึ่งปีหลังของปี 2552 นี้ เทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ ผู้สำรวจส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่น ว่า จะดีขึ้นเกือบในทุกภาคอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นสัญญาณที่น่าจะสอดคล้องกับการประมาณการ และการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เชื่อว่าในแต่ละไตรมาส หรือทุก 3 เดือนที่ผ่านไปนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังหดตัวอยู่ ในช่วงประมาณ 9 เดือนแรกของปีนี้ แต่ว่าจะดีขึ้นโดยลำดับ และก็ยังจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ใน 3 เดือนสุดท้าย

** ดัชนีความเชื่อมั่นเดือน มิ.ย.เริ่มดีขึ้น
ในส่วนที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็ได้มีการจัดทำผลการสำรวจความเชื่อมั่นของ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม พบว่า ตัวเลขในแง่ของความเชื่อมั่นในเรื่องของผู้ประกอบการที่มีต่ออุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นก็ดีขึ้นมาในเดือน มิ.ย.แม้จะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ข้อเท็จจริง ก็คือว่า ระดับความเชื่อมั่นนี้ ก็สูงสุดในรอบ 17 เดือน เหตุผลที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ก็เพราะว่าในเรื่องของปริมาณคำสั่งซื้อ และยอดขาย ซึ่งขณะนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยลำดับ ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ยืนยันว่า ในหมู่ผู้ประกอบการเองก็มีความเชื่อว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น

สุดท้ายที่เป็นการสำรวจก็เป็นในส่วนของ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ที่เรียกว่า CEO Forum อันนี้ก็มีการไปสำรวจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ จะเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ อาหาร แช่แข็ง และผู้บริหารระดับสูงในส่วนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกันว่า มองไปข้างหน้าส่วนใหญ่เห็นว่า เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว และคาดว่า จะเริ่มมีการลงทุนเพิ่มขึ้น มีการได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งก็จะเริ่มต้นจากนี้ไป

** สถานการณ์การว่างงานเริ่มบรรเทา
นอกจากการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ แล้ว ก็มีตัวเลขหลายตัว ที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจ ที่คิดว่า เป็นตัวบ่งบอกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็ยังอยู่ระดับที่สูง และเพิ่มขึ้นมาโดยลำดับ เรื่องของดัชนีการว่างงาน ที่กังวลกันมากเมื่อช่วงต้นปี ว่าจะรุนแรงมาก และ ก็ดูรุนแรงอยู่ในช่วง 2-3 เดือนแรก ระยะหลังนั้นตัวเลขเรื่องของการว่างงาน สถานการณ์ก็เริ่มบรรเทาลงเช่นเดียวกัน

ตัวเลขสุดท้าย ที่อยากจะเรียน คือว่า ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจในวันพุธที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง ได้รายงานว่า การจัดเก็บรายได้ขณะนี้ จากเดิมซึ่งคาดการณ์ไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ว่าจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าเกือบ 3 แสนล้านบาทนี้ บัดนี้ คิดว่าจะต่ำกว่าเป้าเพียงประมาณ 2 แสนล้านบาท ก็คือว่าจากในช่วงประมาณเดือน-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้มีความวิตกกังวลกันค่อนข้างมาก เกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ บัดนี้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ดีขึ้น อากรขาเข้าที่ดีขึ้น แล้วก็ภาษีตัวอื่นๆ ด้วย ก็บ่งบอกว่า สถานการณ์นั้นอาจจะไม่เลวร้ายเหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวลกัน

“เพราะฉะนั้น นี่คือ ภาพรวมที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการยืนยันว่า ขณะนี้เราเริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีในทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และเดินหน้าในการที่จะให้เกิดความมั่นใจว่า การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นเดินไปได้ตามแผน” นายกฯกล่าว

**การจัดซื้อจัดจ้างต้องมีความโปร่งใส
นายกฯ กล่าวยังกล่าวถึงงานของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจในมิติอื่นๆ ด้วยว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี ก็ได้มีการจัดระเบียบต่างๆ เพื่อให้การดำเนินการปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง สามารถที่จะดำเนินการในการที่จะให้เงินลงไปถึงมือประชาชนได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นมีการลดเวลาที่ทำให้การจัดซื้อจัดจ้าง และการที่เงินในโครงการต่างๆ จะลงไปสามารถทำได้เร็วขึ้นประมาณ 1 เดือน โดยไม่ให้กระทบกับความโปร่งใส คือขั้นตอนการตรวจสอบการอุทธรณ์อะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมูล จัดซื้อจัดจ้าง ยังมีอยู่ครบถ้วน แต่ร่นเวลาเข้ามาเพื่อประโยชน์ให้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญ สามารถลงไปสู่ภาคเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

พร้อมๆ กันไปเราก็ทราบดีว่า ปัญหาของอุตสาหกรรม ปัญหาของธุรกิจต่างๆ ก็สมควรจะได้รับการแก้ไขไป เพราะฉะนั้นการแก้ไขในทุกภาคส่วน ก็เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ภาคธุรกิจอย่างเช่น อัญมณี ซึ่งก็ได้เรียกร้องในเรื่องของการยกเว้นภาษีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ ดิบ ภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ หลังจากได้ปรึกษาหารือต่างๆ กันแล้ว คณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อครับว่า จะสามารถส่งเสริมให้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในเรื่องของอุตสาหกรรมนี้ได้ อย่างนี้เป็นต้น

**เร่งแก้ปัญหาพืชผลทางการเกษตร
ในส่วนของภาคการเกษตร การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาง เรื่องลำไย ก็ได้มีการอนุมัติงบประมาณ อนุมัติสินเชื่อไป และเท่าที่ตรวจสอบดูขณะนี้ แนวโน้มราคาก็เริ่มกระเตื้องขึ้นมา ในส่วนของการเดินหน้าต่อไปในอนาคต ระบบการประกันราคาข้าว คณะกรรมการข้าวก็ได้มีการประชุมกัน ราคาประกันสำหรับข้าวขาวก็จะอยู่ที่ 10,000 บาท และในขั้นตอนจากนี้ไป ก็จะเริ่มเป็นการไปจดทะเบียนเกษตรกร ว่าเกษตรกรทั้งหลายอยู่ที่ไหน ปลูกข้าวในข้าวนาปี ปริมาณเท่าไร และสำหรับรายละเอียดราคาของข้าวประเภทอื่นๆ ก็ดี รวมทั้งปริมาณ ก็จะมีการเร่งรัดให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว

“แต่ว่าโครงการนี้อย่างที่เคยพูดมาหลายครั้งนะครับ จะเป็นครั้งแรกที่ทำให้เกษตรกรทุกคนได้ประโยชน์จากการแทรกแซงในเรื่องของ ราคาพืชผลทางการเกษตรของรัฐบาล แล้วก็ได้ดำเนินการไปแล้วในส่วนของข้าวโพด และมันสำปะหลังนะครับ และต่อจากนี้ไปในเรื่องของข้าวก็จะดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันนะครับ นี่คืองานสำคัญทางด้านเศรษฐกิจที่ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง” นายกฯกล่าว

**เพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าโอทอป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า มาตรการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชุมชน ก็ยังมีเรื่องที่มีความวิตกกังวลกันอยู่หลายเรื่อง โครงการชุมชนพอเพียง ก็เรียนว่าเมื่อมีการร้องเรียนมาว่ามีความไม่ โปร่งใส ก็ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าในการตรวจสอบให้โครงการต่างๆ นั้นอยู่บนเจตนารมณ์ของโครงการอย่างแท้จริง และมีความโปร่งใส

ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ได้มีโอกาสร่วมประชุมแล้วก็ทำให้มีความคืบหน้ามากขึ้น ก็คือโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอทอป ซึ่งหลายคนก็มีความวิตกกังวลกันว่าโครงการนี้เมื่อเริ่มต้นขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้เกิดอุตสาหกรรมหรือวิสาหกิจชุมชนขึ้นในหลายพื้นที่ทีเดียว ก็ไปได้ดี แต่ว่าหลายแห่งยังประสบปัญหา สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดสมัชชาโอท็อป หรือหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อมาทบทวนประมวลดู และดูว่ามีอะไรบ้างที่จะสามารถทำงานเดินต่อไปได้ เพื่อให้ โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็ได้มีโอกาสพบกับผู้ประกอบการจากทุกภาคมีการสรุปปัญหามา งานที่จะต้องทำต่อไปนี้คือ การทำให้เป็นระบบมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ว่าผลิตภัณฑ์ใดจะมาใช้ชื่อโอท็อป ก็ควรจะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ ชัดเจน ที่เป็นตัวบ่งบอกว่า สามารถจะมาอยู่ร่วมในโครงการนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องของ เอกลักษณ์ ของชุมชนนั้นๆ หรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการนี้ ไปจนถึงเรื่องของการจัดให้ดาว จัดคุณภาพอะไรต่างๆ ก็ต้องเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน โปร่งใส ที่สำคัญก็คือว่าการต่อยอดจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของ 1.การคุ้มครองสิทธิทางปัญญา 2.คือ การพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ผ่านโครงการที่จะให้ความรู้เพิ่มเติม หรือที่เรียกว่า Knowledge base ก็จะทำตรงนี้ต่อไป

และที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องการตลาด ซึ่งรัฐบาลก็จะมีการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในเรื่องของ การตลาดของสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ที่เขาขอเป็นพิเศษ คือว่า ในรายการทุกอาทิตย์ เป็นไปได้ไหมว่า เอาผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอท็อป มาให้ท่านผู้ชม ผู้ฟังที่ติดตามรายการอยู่นี้ ได้มีโอกาสติดตามด้วย และทุกสัปดาห์จะเปิดโอกาสให้มีการนำเอาสินค้าโอท็อป หรือหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ มาแสดงอยู่ในรายการนี้ ซึ่งก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเผยแพร่ และเราจะอาศัยโอกาสของการประชุมระหว่างประเทศด้วย ก็เรียกร้องกันมากว่าในส่วนของอาเซียนที่ภูเก็ตที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการที่จะมาเผยแพร่ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งจะเป็นช่องทางในการที่จะเดินหน้าในโครงการนี้

**พร้อมแก้ปัญหากองทุนหมู่บ้าน
นอกจากนั้น มีการสอบถามมาด้วยว่า โครงการของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งต้องยอมรับว่าระยะหลังก็มีข้อจำกัดมากขึ้น เพราะว่าในหลายพื้นที่คือเงินทุนไม่พอบ้าง กู้ไปแล้วยังมีปัญหาว่าเป็นการกู้ระยะเวลาสั้นๆ 1 ปีบ้าง ขณะนี้ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประเมินเรื่องราวต่างๆ มาแล้ว และจะมีการปรับและเพิ่มเติมเพื่อให้โครงการนี้เดินหน้าต่อให้เป็นประโยชน์ กับพี่น้องประชาชนได้ด้วย เพราะฉะนั้น ในแง่ของเศรษฐกิจชุมชน ก็เป็นเรื่องที่จะมีการเดินหน้าต่อไป และจะไปสอดรับกับอีกหลายงานที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าทำในระดับชุมชน รวมทั้งสวัสดิการชุมชน

**เชื่อ 3 เดือน รัฐจัดเก็บรายได้กระฉูด
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เชื่อว่าในอีก 3 เดือนจากนี้การจัดเก็บรายได้น่าจะดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเห็นได้จากรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ดีขึ้นมาก รวมทั้งแนวโน้มน่าจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายและเอดีบีคาดการณ์ว่าเป็นลักษณะตัววี ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในขณะนี้หลายตัวดีขึ้น ทั้งตัวเลขการส่งออกที่เริ่มติดลบน้อยลง และเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนจะพบว่าอัตราเติบโตเป็นบวก โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5-8 ขณะที่รัฐบาลพยายามเร่งเดินหน้าโครงการไทยเข้มแข็งที่ได้แก้ไขอุปสรรคเรื่องระบบอี-ออคชั่น ให้ดำเนินการได้ภายใน 28 วัน การกำหนดให้มีการเริ่มประมูลโครงการตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นต้นไป จึงเชื่อว่าน่าจะดีขึ้น

**แบงก์ชาติ-คลัง-ตลาดทุน ยกตัวเลขเศรษฐกิจฟื้น
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับตัวเลขที่นายกรัฐมนตรี ชี้วา เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้น ประกอบด้วย ตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานภาวะตลาดเงิน ระหว่างวันที่ 1-28 กรกฎาคม 2552 พบว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนตัวลง แต่ถ้าเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา

ในอนาคต พบว่า ค่าเงินบาทยังคงมีเสถียรภาพ โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการปรับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับทิศทางของตลาดเงินและตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง). มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 นอกจากนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีสินทรัพย์สภาพคล่องสูงอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นประมาณ 5 เท่าของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามกฎหมาย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ขณะที่กระทรวงการคลัง รายงานการจัดเก็บรายได้สุทธินั้น ในช่วง 9 เดือนแรก สามารถจัดเก็บได้จำนวน 1,021,098 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 144,960 ล้านบาท (ร้อยละ 12.4) เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณมีจำนวนทั้งสิ้น 1,1413,967 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมาจำนวน 193,885 ล้านบาท (ร้อยละ 15.9) คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 67 ของวงเงินงบประมาณ (1,951,700 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสุทธิตลอดปีงบประมาณ 2552 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 1,398,100 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 206,540 ล้านบาท (ร้อยละ 12.9) เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บได้มากขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้

ในขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,834,600 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 94 ของวงเงินงบประมาณ โดยรัฐจะกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 44,1061 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2552 มีจำนวน 171,499 ล้านบาท ลดลงจากต้นปีงบประมาณ ประมาณ 57,561 ล้านบาท

ส่วนการออกพันธบัตรไทยมีผลต่อสภาพคล่องในตลาดหรือไม่ โดยผู้ว่าการ ธปท.ได้ยืนยันชัดเจนว่า ไม่มีผลอย่างเป็นนัยสำคัญ เพราะยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่ประมาณ 1.6-1.7 ล้านล้านบาท

**ภารกิจนายกฯ ตรวจไทยเข้มแข้ง สงขลา
สำหรับภารกิจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เวลา 11.40 น.ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา เพื่อพบปะประชาชนและเยี่ยมชมองค์กรสวัสดิการชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยภารกิจแรกนายกรัฐมนตรีจะมอบใบรับรองการเป็นองค์กาiสวัสดิการชุมชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์ ณ จ.สงขลา พร้อมมอบนโยบายรัฐบาล ในการสนับสนุนสวัสดิการชุมชน เป็นวาระแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

จากนั้นรับฟังรายงานภาพรวมการส่งเสริมสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น และเยี่ยมชมกิจกรรมพัฒนาในพื้นที่ที่ทำการกองทุนสวัสดิการชุมชน ต.เขาพระ ช่วงบ่ายเดินทางไปเปิดสำนักงานสหกรณ์การเกษตรหาดใหญ่แห่งใหม่ และเปิดงานมหกรรมเปิดโลกฮาลานและวัฒนธรรมสัมพันธ์ พร้อมเยี่ยมชมมัสยิดประจำ จ.สงขลา ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในเวลา 20.00 น.

**“โฆษกรัฐ” ปัดเลื่อนแถลงผลงาน แก้เกมแม้ว
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจเลื่อนการแถลงออกไปประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากติดภารกิจเข้าร่วมประชุมรัฐสภา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจกำหนดวัน-เวลาที่ชัดเจนอีกครั้ง แต่ที่ผ่านมารัฐบาลได้ชี้แจงผลงานให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะๆ อยู่แล้ว

ทั้งนี้ การแถลงผลงานจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เนื่องจากก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาทำหน้าที่ บ้านเมืองคล้ายกับถูกไฟไหม้ รัฐบาลจึงต้องเร่งช่วยคนออกจากบ้านหลังดังกล่าว จากนั้นก็ดับไฟ แล้วก็สร้างบ้านใหม่

สำหรับผลงานที่เปรียบได้กับการช่วยคนออกจากบ้านไฟไหม้ เช่น การต่ออายุ 6 มาตรการ 6 เดือน, นโยบายเรียนฟรี 15 ปี, นโยบายจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ ฯลฯ ผลงานที่เปรียบได้กับการดับไฟ เช่น การแก้ไขปัญหาไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 , การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายปณิธาน กล่าว่วา รัฐบาลจะพยายามอธิบายการทำงานให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะๆ และมีแนวคิดจะนำชีวิตประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายมานำเสนอ ทั้งในรูปแบบสารคดี ทางวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต ด้วย
 
“ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การแก้เกมกลับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีแนวคิดจะจัดทำเรียลิตีคนจนผ่านสถานีโทรทัศน์ส่วนตัวที่จะตั้งขึ้น เพราะเป็นนโยบายที่มีอยู่” โฆษกรัฐบาล กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น