เคจีไอ คาดแนวโน้มดัชนีฯช่วง1-2 เดือนมีโอกาสขึ้นแตะ 640-670 จุด มองภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้น ส่งออกกลับมาดีหลังส.ค. ปีนี้ประเมินกำไรบจ.รวมอยู่ที่ 3.50 แสนล้านบาท เหตุกลุ่มพลังงานโชว์ผลงานดีดันกำไรเพิ่ม 15.1% จากปีก่อนที่ 3.04 แสนล้านบาท เล็งจีดีพีปีนี้ติดลบ 3.9% แนะจับตา NPLแบงก์ไตรมาส4/52 หากตัวเลขแย่ ศก.ฟื้นยาก หวังปีหน้าจีดีพีพลิกเป็นบวก 2.5% ได้
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบที่ระดับ 640-670 จุด ตามมุมมองการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยช่วงครึ่งหลังของปี52 ภาพรวมดัชนีฯมีโอกาสผันผวนอยู่ในกรอบที่ 530-730 จุด
สำหรับปัจจัยหลักที่เป็นตัวชี้วัดมาจากปัจจัยภายนอก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาที่รัฐบาลมีการใส่เงินเข้าไปกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มเห็นผลกระเตื้องช่วงไตรมาส2/52 และในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นลงตามความคาดหวังของเศรษฐกิจอเมริกา ในส่วนของปัจจัยภายในคือประเด็นหนี้เสียในภาคการเงินไทย (NPL) ซึ่งหากดูตัวเลขNPL ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่ประกาศไว้ ณ เดือนมิ.ย.ของธนาคาร 13 แห่งในประเทศไทยจะอยู่ที่ 3.62 แสนล้านบาท หรือ0.1% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความแข็งแรงของสถาบันการเงินในไทยเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูว่าในไตรมาสที่4/52 NPL จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
ทั้งนี้หากแนวโน้ม NPL มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจะแสดงถึงภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤตและมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง อีกทั้งNPL ถือเป็นสัญญาณตัววัดแรกที่แสดงออกให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่าเป็นไปในทิศทางใด อย่างช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมาตัวเลขNPL ก็ปรับตัวขึ้นแตะที่ระดับ 4% และ7% และจากวิกฤตเศรษฐกิจล่าสุดที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการกระตุ้นของรัฐบาลของแต่ละประเทศ และหากตัวเลขNPL ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสถานการณ์ทุกอย่างก็จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ เพราะมองว่าขณะนี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อกระแสเงินลงทุนที่จะไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาลงทุนในตลาดหุ้นตอนช่วงท้ายปี 52 ถึงปี 53 จากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยหากนับจากเดือน เม.ย.ถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างชาติที่มียอดซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่องลักษณทยอยซื้อถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
อีกทั้งคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปีนี้รวมอยู่ที่ 350,153 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.1% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 304,330 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการดีดกลับของผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในรอบ 4 ปี ทั้งนี้ผลกำไรสุทธิรวมที่เติบโตขึ้นดังกล่าว ส่วนใหญ่มาจากผลกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลักที่โตขึ้น59% จากปีก่อน ขณะภาพรวมของธุรกิจกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดจากปีก่อน
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบ 3.9% โดยช่วงไตรมาส3/52 นี้ยังคงติดลบต่อเนื่องและจะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส4/52 จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 60%ของตัวเลขจีดีพี ทั้งนี้คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงเดือนส.ค. เป็นต้นไป
ขณะที่ประเมินตัวเลขส่งออกทั้งปีคาดว่าจะติดลบ 20% และสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ปีหน้าที่ 14% ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจีดีพีของไทยก็จะพลิกกลับมาเป็นบวกที่ 2.5% จากปัจจัยโครงการของรัฐบาลผ่านโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง ที่มีส่วนในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็ว โดยจะเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้สัดส่วนประมาณ 3-5% ของงบประมาณรวม และประเมินว่าภาคการลงทุนและภาคการบริโภคมีโอกาสที่จะฟื้นตัวช้ากว่าภาคการส่งออก
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบที่ระดับ 640-670 จุด ตามมุมมองการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยช่วงครึ่งหลังของปี52 ภาพรวมดัชนีฯมีโอกาสผันผวนอยู่ในกรอบที่ 530-730 จุด
สำหรับปัจจัยหลักที่เป็นตัวชี้วัดมาจากปัจจัยภายนอก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาที่รัฐบาลมีการใส่เงินเข้าไปกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มเห็นผลกระเตื้องช่วงไตรมาส2/52 และในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นลงตามความคาดหวังของเศรษฐกิจอเมริกา ในส่วนของปัจจัยภายในคือประเด็นหนี้เสียในภาคการเงินไทย (NPL) ซึ่งหากดูตัวเลขNPL ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่ประกาศไว้ ณ เดือนมิ.ย.ของธนาคาร 13 แห่งในประเทศไทยจะอยู่ที่ 3.62 แสนล้านบาท หรือ0.1% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความแข็งแรงของสถาบันการเงินในไทยเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูว่าในไตรมาสที่4/52 NPL จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
ทั้งนี้หากแนวโน้ม NPL มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจะแสดงถึงภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤตและมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง อีกทั้งNPL ถือเป็นสัญญาณตัววัดแรกที่แสดงออกให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่าเป็นไปในทิศทางใด อย่างช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมาตัวเลขNPL ก็ปรับตัวขึ้นแตะที่ระดับ 4% และ7% และจากวิกฤตเศรษฐกิจล่าสุดที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการกระตุ้นของรัฐบาลของแต่ละประเทศ และหากตัวเลขNPL ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสถานการณ์ทุกอย่างก็จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ เพราะมองว่าขณะนี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อกระแสเงินลงทุนที่จะไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาลงทุนในตลาดหุ้นตอนช่วงท้ายปี 52 ถึงปี 53 จากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยหากนับจากเดือน เม.ย.ถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างชาติที่มียอดซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่องลักษณทยอยซื้อถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
อีกทั้งคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปีนี้รวมอยู่ที่ 350,153 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.1% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 304,330 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการดีดกลับของผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในรอบ 4 ปี ทั้งนี้ผลกำไรสุทธิรวมที่เติบโตขึ้นดังกล่าว ส่วนใหญ่มาจากผลกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลักที่โตขึ้น59% จากปีก่อน ขณะภาพรวมของธุรกิจกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดจากปีก่อน
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบ 3.9% โดยช่วงไตรมาส3/52 นี้ยังคงติดลบต่อเนื่องและจะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส4/52 จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 60%ของตัวเลขจีดีพี ทั้งนี้คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงเดือนส.ค. เป็นต้นไป
ขณะที่ประเมินตัวเลขส่งออกทั้งปีคาดว่าจะติดลบ 20% และสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ปีหน้าที่ 14% ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจีดีพีของไทยก็จะพลิกกลับมาเป็นบวกที่ 2.5% จากปัจจัยโครงการของรัฐบาลผ่านโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง ที่มีส่วนในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็ว โดยจะเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้สัดส่วนประมาณ 3-5% ของงบประมาณรวม และประเมินว่าภาคการลงทุนและภาคการบริโภคมีโอกาสที่จะฟื้นตัวช้ากว่าภาคการส่งออก