แอล.พี.เอ็น.ฯยันครึ่งปีหลังเปิดเพิ่มอีก3โครงการ พร้อมลุยซื้อที่ดินรอพัฒนาโครงการรองรับแผนปี 53 แจงสต๊อกยอดขายรอรับรู้รายได้ปีหน้า 8,450 ล้านบาท มั่นใจยอดขายตามเป้า11,000 ล้านบาท รับรู้9,000ล้านบาท แม้เศรษฐกิจผันผวน
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 52 ว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก2โครงการ คือ โครงการลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ และลุมพินีวิลล์ รามอินทรา-หลักสี่ ทำให้ในปีนี้ยังเหลือโครงการใหม่ที่จะเปิดขายในปีนี้อีก 3โครงการ โดย2โครงการแรก คือ โครงการลุมพินีวิลล์ ปิ่นเกล้า และลุมพินีวิลล์ พระราม9 นั้น บริษัทมีที่ดินรอรับการพัฒนาแล้ว ส่วนอีก1โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดซื้อที่ดิน
“ที่ดินใหม่ที่จะซื้อเข้ามาพัฒนาโครงการที่ 3 นั้น คาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 2ไร่ ซึ่งจะอยู่ในทำเลใหม่โดยทำเลดังกล่าวจะเป็นทำเลที่ LPN จะเข้าไปทดสอบกำลังซื้อ และความต้องการในพื้นที่ ว่ามีมากเพียงพอที่จะขยายการลงทุนโครงการต่อไปหรือไม่”
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะยังดำเนินการตามแผนเดิมที่วางไว้ คือ เปิดตัวโครงการเพิ่มอีก 3 โครงการ แต่จะยังไม่เร่งขยายโครงการใหม่เพิ่มมากกว่าแผนเดิม เนื่องจากต้องรอพิจารณาสถานการณ์ตลาดและปัจจัยภาพรวมก่อน ซึ่งหากจะลงทุนมากว่าแผนที่วางไว้จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่ม
สำหรับโครงการลุมพินีวิลล์พระราม9นั้น เป็นโครงการเฟสต่อเนื่อง มีพื้นที่การพัฒนา3ไร่ครึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารสูง2จำนวนอาคาร ส่วนโครงการลุมพินีวิลล์ ปิ่นเกล้านั้นมีพื้นที่ 10ไร่เศษ ซึ่งทั้ง2โครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดตัวในปลายไตรมาสที่3หรือต้นไตรมาส4นี้ ส่วนอีก1โครงการที่เหลือจะเปิดตัวในไตรมาสที่4ในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตามในปีนี้ คณะกรรมการบริหาร LPN ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน1,400 ล้านบาท ในการจัดซื้อที่ดินเข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว 700 ล้านบาทเศษ ส่วนที่เหลืออีกกว่า 700 ล้านบาทนั้น จะเป็นการซื้อที่ดินใหม่เข้ามารองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53 โดยที่ดินที่จะซื้อเข้ามารอการพัฒนาในปีหน้านั้น จะเน้นซื้อแปลงที่มีขนาดเล็ก เพื่อง่ายต่อการพัฒนาและสามารถปิดการขายได้รวกเร็ว
นายโอภาสกล่าวว่า สำหรับปี 2552 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท จากโครงการเดิมและ9โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มรับรู้รายได้แล้วตั้งแต่ไตรมาส2 จาก ลุมพินีวิลล์รามอินทรา-หลัง 1,200ล้านบาทจากมูลค่าขายรวม 1,300 ล้านบาท ลุมพินีวิลล์พงษ์เพชร รับรู้รายได้แล้ว1,250 ล้านบาทจากมูลค่าขาย1,300ล้านบาท ลุมพินีสวิท ปิ่นเกล้า รับรู้รายได้แล้ว1,000ล้านบาทจากมูลค่ารวม1,300ล้านบาท และลุมพินีวิลล์ รัตนาธิเบศร์ ซึ่งมียอดขายแล้ว 70% ขณะนี้รับรู้รายได้แล้ว 600ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยขายและโอนให้ได้ทั้งหมดในปีนี้
ส่วนไตรมาสที่3 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จอีก2โครงการคือ ลุมพินีวิลล์ราม26 ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมด1,300ล้านบาท และในไตรมาสสุดท้ายจะรับจะเริ่มรับรู้รายได้จากลุมพินีวิลล์พระราม 8 จำนวน800ล้านบาท จากมูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะโอนไปรับรู้รายได้ทั้งหมดในไตรมาสแรกของปี53
จากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้ในปี 2553บริษัท มียอดรอรับรู้รายได้ในมือแล้วประมาณ 8,450 ล้านบาทจากโครงการที่ทยอยสร้างเสร็จในปีหน้า ประกอบด้วยยอดรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินีวิลล์พระราม8 จำนวน 1,400ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์พระราม9 จำนวน2,600ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์รามอินทรา-หลักสี่ 850 ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์รามอินทรา-นวมินทร์ 2,200ล้านบาท และโครงการโครงการลุมพินีวิลล์ ราษฎร์บูรณะ 1,200ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 52 ว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก2โครงการ คือ โครงการลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ และลุมพินีวิลล์ รามอินทรา-หลักสี่ ทำให้ในปีนี้ยังเหลือโครงการใหม่ที่จะเปิดขายในปีนี้อีก 3โครงการ โดย2โครงการแรก คือ โครงการลุมพินีวิลล์ ปิ่นเกล้า และลุมพินีวิลล์ พระราม9 นั้น บริษัทมีที่ดินรอรับการพัฒนาแล้ว ส่วนอีก1โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดซื้อที่ดิน
“ที่ดินใหม่ที่จะซื้อเข้ามาพัฒนาโครงการที่ 3 นั้น คาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 2ไร่ ซึ่งจะอยู่ในทำเลใหม่โดยทำเลดังกล่าวจะเป็นทำเลที่ LPN จะเข้าไปทดสอบกำลังซื้อ และความต้องการในพื้นที่ ว่ามีมากเพียงพอที่จะขยายการลงทุนโครงการต่อไปหรือไม่”
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะยังดำเนินการตามแผนเดิมที่วางไว้ คือ เปิดตัวโครงการเพิ่มอีก 3 โครงการ แต่จะยังไม่เร่งขยายโครงการใหม่เพิ่มมากกว่าแผนเดิม เนื่องจากต้องรอพิจารณาสถานการณ์ตลาดและปัจจัยภาพรวมก่อน ซึ่งหากจะลงทุนมากว่าแผนที่วางไว้จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่ม
สำหรับโครงการลุมพินีวิลล์พระราม9นั้น เป็นโครงการเฟสต่อเนื่อง มีพื้นที่การพัฒนา3ไร่ครึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารสูง2จำนวนอาคาร ส่วนโครงการลุมพินีวิลล์ ปิ่นเกล้านั้นมีพื้นที่ 10ไร่เศษ ซึ่งทั้ง2โครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดตัวในปลายไตรมาสที่3หรือต้นไตรมาส4นี้ ส่วนอีก1โครงการที่เหลือจะเปิดตัวในไตรมาสที่4ในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตามในปีนี้ คณะกรรมการบริหาร LPN ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน1,400 ล้านบาท ในการจัดซื้อที่ดินเข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว 700 ล้านบาทเศษ ส่วนที่เหลืออีกกว่า 700 ล้านบาทนั้น จะเป็นการซื้อที่ดินใหม่เข้ามารองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี53 โดยที่ดินที่จะซื้อเข้ามารอการพัฒนาในปีหน้านั้น จะเน้นซื้อแปลงที่มีขนาดเล็ก เพื่อง่ายต่อการพัฒนาและสามารถปิดการขายได้รวกเร็ว
นายโอภาสกล่าวว่า สำหรับปี 2552 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท จากโครงการเดิมและ9โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มรับรู้รายได้แล้วตั้งแต่ไตรมาส2 จาก ลุมพินีวิลล์รามอินทรา-หลัง 1,200ล้านบาทจากมูลค่าขายรวม 1,300 ล้านบาท ลุมพินีวิลล์พงษ์เพชร รับรู้รายได้แล้ว1,250 ล้านบาทจากมูลค่าขาย1,300ล้านบาท ลุมพินีสวิท ปิ่นเกล้า รับรู้รายได้แล้ว1,000ล้านบาทจากมูลค่ารวม1,300ล้านบาท และลุมพินีวิลล์ รัตนาธิเบศร์ ซึ่งมียอดขายแล้ว 70% ขณะนี้รับรู้รายได้แล้ว 600ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยขายและโอนให้ได้ทั้งหมดในปีนี้
ส่วนไตรมาสที่3 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จอีก2โครงการคือ ลุมพินีวิลล์ราม26 ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมด1,300ล้านบาท และในไตรมาสสุดท้ายจะรับจะเริ่มรับรู้รายได้จากลุมพินีวิลล์พระราม 8 จำนวน800ล้านบาท จากมูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะโอนไปรับรู้รายได้ทั้งหมดในไตรมาสแรกของปี53
จากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้ในปี 2553บริษัท มียอดรอรับรู้รายได้ในมือแล้วประมาณ 8,450 ล้านบาทจากโครงการที่ทยอยสร้างเสร็จในปีหน้า ประกอบด้วยยอดรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินีวิลล์พระราม8 จำนวน 1,400ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์พระราม9 จำนวน2,600ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์รามอินทรา-หลักสี่ 850 ล้านบาท โครงการลุมพินีวิลล์รามอินทรา-นวมินทร์ 2,200ล้านบาท และโครงการโครงการลุมพินีวิลล์ ราษฎร์บูรณะ 1,200ล้านบาท