บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ตบเท้าปั๊มโครงการใหม่ หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูงขึ้น "แอล.พี.เอ็น."เจ้าตลาดคอนโดฯ เชื่อครึ่งปีหลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้น กำลังซื้อกระเตื้อง ตั้งเป้าขาย 10,000 ล้านบาท มั่นใจสามารถฝ่าวิกฤตได้ เชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐหนุนภาคอสังหาฯ เป็นตัวจักรสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจ "ศุภาลัย"เปิด 9 โครงการมูลค่าเกือบ 17,000 ล้านบาท เป้ายอดขายหมื่นล้าน ระบุเศรษฐกิจชะลอราคาที่ดินถูกลง ส่วนคาซ่า วิลล์เครือคิวเฮ้าส์ เปิดโครงการต่อโซนพระราม 2 มูลค่ากว่าพันล้าน "กิมเอ็ง"เผยอสังหาฯรายใหญ่ ยอดขายล่วงหน้ารอโอนเพียบ
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯปี52 เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกภาวะตลาดยังคงชะลอตัวอยู่บ้าง เนื่องจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและชะลอการซื้อ ส่วนในครึ่งปีหลังทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและเริ่มกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ถูกทางเพราะในหลายประเทศได้ใช้วิธีนี้เช่นกัน ดังนั้น จึงเชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาสนับสนุนธุรกิจนี้จะทำให้ภาวะตลาดดีขึ้น
“ยอดขายคอนโดมิเนียมในปีที่ผ่านมาลดลงประมาณ 30% และในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะยังคงชะลอตัว เพราะปัจจัยต่างๆ ยังไม่ชัดเจนจึงยังทำให้ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจ แต่คาดว่าครึ่งปีหลังความเชื่อมั่นน่าจะดีขึ้นและตลาด”
สำหรับในปี 52 บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการเปิดเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว เช่น ประชาชื่น-พงษ์เพชร, บางแค, รามอินทรา-หลักสี่ ส่วนยอดรับรู้รายได้จำนวน 8,000 ล้านบาท จาก 7โครงการหลักซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่, ลุมพินี วิลล์ ประชาชื่น-พงษ์เพชร, ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26, ลุมพินี สวีท ปิ่นเกล้า, ลุมพินี สวีทและลุมพินี เพลส พระราม 8 และลุมพินี คอนโดทาวน์ รัตนาธิเบศร์
ปัจจุบัน บริษัทฯมีสินค้าสร้างเสร็จรอขายที่เหลือมาจากปีที่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสร้างเสร็จในปีนี้อีก 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกรวมทั้งหมดประมาณ 10,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวขายไปแล้ว 70% ซึ่งลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯสร้างเสร็จและโอนภายในปีนี้จะได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐทันที
นายโอภาส กล่าวว่า ในภาวะที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการจะต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของสภาพคล่องหรือกระแสเงินสดให้มากที่สุด โดยในส่วนของบริษัทปัจจุบันมีกระแสเงินสดเกือบ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในภาวะที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อเลยบริษัทสามารถนำเงินดังกล่าวไปสร้างโครงการที่มีอยู่ได้จนแล้วเสร็จ นอกจากนี้การพัฒนาโครงการสิ่งสำคัญที่สุดยังต้องเป็นทำเล รองลงมาคือ ราคา ซึ่งหากทุกอย่างออกมาสอดคล้องกันก็เชื่อว่าจะยังสามารถขายสินค้าได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เพราะที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์ถึงอย่างไรก็ต้องซื้อ
สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ตั้งเป้าเปิด 6-7 โครงการมูลค่า 10,000 -12,000 ล้านบาท โดยแนวทางในการพัฒนาจะเน้นการเปิดเฟสต่อเนื่องในทำลเดิมที่ได้ทำการตลาดไว้แล้ว เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์สินค้าและสร้างการรับรู้ลูกค้าในย่านนั้นๆ
ศุภาลัยตั้งเป้าโกยยอดขายหมื่นล้าน
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) เปิดเผยว่า ในปี 52 บริษัทตั้งเป้าจะมียอดรับรู้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อน เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมียอดขายที่รอการโอนรวม 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3,000 ล้านบาท และที่เหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท เป็นแนวสูง ที่จะบันทึกเข้ามาเป็นรายได้ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ เพราะมี 2 โครงการ คือ ศุภาลัย ปาร์ค ศรีนคิรนทร์ และ ศุภาลัย ริเวอร์เพลส มียอดขายแล้วกว่า 80% แต่ในส่วนของศุภาลัย คาซาวิลว่า ที่ยังเหลืออยู่ 100-200 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการที่มีระดับราคาแพง 10 ล้านบาทต่อยูนิต บริษัทเชื่อว่าจะปิดการขายได้ เพราะมีแผนกระตุ้นยอดขายด้วยแคมเปญ"ฟรีดอกเบี้ย 2 ปี" หรือแถมเฟอร์นิเจอร์ จึงมั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตในปี 52 เป็นเลข 2 หลัก
"ต้นปีนี้ ผมเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของผู้บริโภคที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดือนธันวาคมปีก่อนที่คนลังเลก็เริ่มตัดสินใจซื้อ และไม่ใช่ว่าเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เราจะไม่ทำอะไร อยู่ที่เราจะวางแผนทำอะไรให้มันดีขึ้นมากกว่า"นายอธิป กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 52 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 9 โครงการทั้งในกรุงเทพฯและจ.ภูเก็ต รวมมูลค่า 16,000-17,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกจะเปิด 3 โครงการเป็นแนวราบ 2 โครงการและแนวสูงอีก 1 โครงการ คือ โครงการศุภาลัย ปาร์ค แยกติวานนท์ ที่มีมูลค่าโครงการไม่เกิน 1,700 ล้านบาท เปิดขาย เสาร์-อาทิตย์นี้ สำหรับลูกค้าเดิม ซึ่งคาดว่าจะมียอดจอง 30% หรือมียอดขายเกินกว่า 500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีทำเลที่ดี โดยเฉพาะโครงการแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จปลายปี 54
ในส่วนของยอดขายในปี 52 เชื่อว่ายังมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากปี 51 ที่ 7-8% หรือ 10,000 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากปีก่อน แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ เนื่องจากบรรยากาศของผู้บริโภคที่ยังมีการชะลอการตัดสินใจซื้ออยู่บ้างจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ภายใต้เศรษฐกิจชะลอตัวก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 53 เพราะที่ดินจะมีราคาถูกและได้ทำเลที่ดี
คิวเฮ้าส์ดันคาซ่าฯเพิ่มยอดขาย
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการบ้าน 1A บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทฯประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการ “คาซ่าวิลล์ พระราม 2” โดยสามารถปิดการขายโครงการดังกล่าวด้วยยอดขายรวม 700 ล้านบาท ได้ในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษ เนื่องจากพระราม 2 เป็นทำเลที่มีการเจริญเติบโตสูง และยังพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านในระดับราคาปานกลางอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทฯจึงเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอีกหนึ่งแห่ง เพื่อกวาดกำลังซื้อของลูกค้าบ้านในทำเลดังกล่าวกับโครงการ “คาซ่าวิลล์ พระราม2-2” ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ มีขนาดเนื้อที่ประมาณ 52 ไร่ จำนวน 250 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้น 4-12 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่หลายแห่ง ค่อนข้างได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐ โดยพบว่า มียอดขายล่วงหน้ารอโอนมูลค่าสูง เช่น AP อยู่ที่ 12,800 ล้านบาท LH ที่ 1,000 ล้านบาท LPN ที่ 9,127 ล้านบาท PS ที่ 10,970 ล้านบาท QH ที่ 300 ล้านบาท และSPALI 14,212 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯปี52 เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกภาวะตลาดยังคงชะลอตัวอยู่บ้าง เนื่องจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและชะลอการซื้อ ส่วนในครึ่งปีหลังทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและเริ่มกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ถูกทางเพราะในหลายประเทศได้ใช้วิธีนี้เช่นกัน ดังนั้น จึงเชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาสนับสนุนธุรกิจนี้จะทำให้ภาวะตลาดดีขึ้น
“ยอดขายคอนโดมิเนียมในปีที่ผ่านมาลดลงประมาณ 30% และในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะยังคงชะลอตัว เพราะปัจจัยต่างๆ ยังไม่ชัดเจนจึงยังทำให้ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจ แต่คาดว่าครึ่งปีหลังความเชื่อมั่นน่าจะดีขึ้นและตลาด”
สำหรับในปี 52 บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการเปิดเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว เช่น ประชาชื่น-พงษ์เพชร, บางแค, รามอินทรา-หลักสี่ ส่วนยอดรับรู้รายได้จำนวน 8,000 ล้านบาท จาก 7โครงการหลักซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่, ลุมพินี วิลล์ ประชาชื่น-พงษ์เพชร, ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26, ลุมพินี สวีท ปิ่นเกล้า, ลุมพินี สวีทและลุมพินี เพลส พระราม 8 และลุมพินี คอนโดทาวน์ รัตนาธิเบศร์
ปัจจุบัน บริษัทฯมีสินค้าสร้างเสร็จรอขายที่เหลือมาจากปีที่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสร้างเสร็จในปีนี้อีก 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกรวมทั้งหมดประมาณ 10,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวขายไปแล้ว 70% ซึ่งลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯสร้างเสร็จและโอนภายในปีนี้จะได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐทันที
นายโอภาส กล่าวว่า ในภาวะที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการจะต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของสภาพคล่องหรือกระแสเงินสดให้มากที่สุด โดยในส่วนของบริษัทปัจจุบันมีกระแสเงินสดเกือบ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในภาวะที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อเลยบริษัทสามารถนำเงินดังกล่าวไปสร้างโครงการที่มีอยู่ได้จนแล้วเสร็จ นอกจากนี้การพัฒนาโครงการสิ่งสำคัญที่สุดยังต้องเป็นทำเล รองลงมาคือ ราคา ซึ่งหากทุกอย่างออกมาสอดคล้องกันก็เชื่อว่าจะยังสามารถขายสินค้าได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เพราะที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์ถึงอย่างไรก็ต้องซื้อ
สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ตั้งเป้าเปิด 6-7 โครงการมูลค่า 10,000 -12,000 ล้านบาท โดยแนวทางในการพัฒนาจะเน้นการเปิดเฟสต่อเนื่องในทำลเดิมที่ได้ทำการตลาดไว้แล้ว เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์สินค้าและสร้างการรับรู้ลูกค้าในย่านนั้นๆ
ศุภาลัยตั้งเป้าโกยยอดขายหมื่นล้าน
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) เปิดเผยว่า ในปี 52 บริษัทตั้งเป้าจะมียอดรับรู้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อน เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมียอดขายที่รอการโอนรวม 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3,000 ล้านบาท และที่เหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท เป็นแนวสูง ที่จะบันทึกเข้ามาเป็นรายได้ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ เพราะมี 2 โครงการ คือ ศุภาลัย ปาร์ค ศรีนคิรนทร์ และ ศุภาลัย ริเวอร์เพลส มียอดขายแล้วกว่า 80% แต่ในส่วนของศุภาลัย คาซาวิลว่า ที่ยังเหลืออยู่ 100-200 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการที่มีระดับราคาแพง 10 ล้านบาทต่อยูนิต บริษัทเชื่อว่าจะปิดการขายได้ เพราะมีแผนกระตุ้นยอดขายด้วยแคมเปญ"ฟรีดอกเบี้ย 2 ปี" หรือแถมเฟอร์นิเจอร์ จึงมั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตในปี 52 เป็นเลข 2 หลัก
"ต้นปีนี้ ผมเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของผู้บริโภคที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดือนธันวาคมปีก่อนที่คนลังเลก็เริ่มตัดสินใจซื้อ และไม่ใช่ว่าเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เราจะไม่ทำอะไร อยู่ที่เราจะวางแผนทำอะไรให้มันดีขึ้นมากกว่า"นายอธิป กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 52 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 9 โครงการทั้งในกรุงเทพฯและจ.ภูเก็ต รวมมูลค่า 16,000-17,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกจะเปิด 3 โครงการเป็นแนวราบ 2 โครงการและแนวสูงอีก 1 โครงการ คือ โครงการศุภาลัย ปาร์ค แยกติวานนท์ ที่มีมูลค่าโครงการไม่เกิน 1,700 ล้านบาท เปิดขาย เสาร์-อาทิตย์นี้ สำหรับลูกค้าเดิม ซึ่งคาดว่าจะมียอดจอง 30% หรือมียอดขายเกินกว่า 500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีทำเลที่ดี โดยเฉพาะโครงการแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จปลายปี 54
ในส่วนของยอดขายในปี 52 เชื่อว่ายังมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากปี 51 ที่ 7-8% หรือ 10,000 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากปีก่อน แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ เนื่องจากบรรยากาศของผู้บริโภคที่ยังมีการชะลอการตัดสินใจซื้ออยู่บ้างจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ภายใต้เศรษฐกิจชะลอตัวก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 53 เพราะที่ดินจะมีราคาถูกและได้ทำเลที่ดี
คิวเฮ้าส์ดันคาซ่าฯเพิ่มยอดขาย
นายภวรัญชน์ อุดมศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการบ้าน 1A บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทฯประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการ “คาซ่าวิลล์ พระราม 2” โดยสามารถปิดการขายโครงการดังกล่าวด้วยยอดขายรวม 700 ล้านบาท ได้ในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษ เนื่องจากพระราม 2 เป็นทำเลที่มีการเจริญเติบโตสูง และยังพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านในระดับราคาปานกลางอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทฯจึงเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอีกหนึ่งแห่ง เพื่อกวาดกำลังซื้อของลูกค้าบ้านในทำเลดังกล่าวกับโครงการ “คาซ่าวิลล์ พระราม2-2” ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท
รายละเอียดโครงการ มีขนาดเนื้อที่ประมาณ 52 ไร่ จำนวน 250 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้น 4-12 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่หลายแห่ง ค่อนข้างได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐ โดยพบว่า มียอดขายล่วงหน้ารอโอนมูลค่าสูง เช่น AP อยู่ที่ 12,800 ล้านบาท LH ที่ 1,000 ล้านบาท LPN ที่ 9,127 ล้านบาท PS ที่ 10,970 ล้านบาท QH ที่ 300 ล้านบาท และSPALI 14,212 ล้านบาท