ผู้บริหาร คิง เพาเวอร์ เปิดแถลงข่าวโต้สื่อต่างประเทศ หลังถูกสองสามีภรรยาชาวอังกฤษแฉร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ ต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว อาจการถูกดำเนินคดี และมีการจ่ายสินบนถึง 2 แสนบาท ยันมีหลักฐานกล้องวงจรปิดมัดแน่น พร้อมให้สถานทูตชี้แจงข้อเท็จจริง
มีรายงานข่าวว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เปิดแถลงข่าวถึงกรณีมีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษพร้อมด้วยภรรยา ถูกดำเนินคดีในข้อหาขโมยทรัพย์สินในร้านค้าปลอดภาษีของ คิง เพาเวอร์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยระบุว่า บุคคลทั้ง 2 คน ได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนต่างประเทศว่า พวกเขาถูกดำเนินคดีจากเรื่องดังกล่าว และเสียค่าวิ่งเต้น นอกเหนือจากค่าประกันตัวอีก 200,000 บาท ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ ทั้ง คิง เพาเวอร์ และพนักงานสอบสวนของไทย
นายจุลจิตต์ บุญเกตุ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นที่มีการลักทรัพย์เป็นกระเป๋าสตางค์ของสามีภรรยาชาวอังกฤษเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา ซึ่ง คิง เพาเวอร์ มีภาพวงจรปิดชัดเจนขณะเกิดการลักทรัพย์ขึ้น รวมทั้งหลังเกิดปัญหาได้มีการดำเนินคดีกับทั้งสองคน โดย คิง เพาเวอร์ ได้ทรัพย์สินคืน
นายจุลจิตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายจะเป็นของพนักงานสอบสวนและอัยการ โดยถือว่าหมดภาระของคิง เพาเวอร์ แล้ว ส่วนกรณีที่บุคคลทั้งสองคนเสียค่าประกันตัว 200,000 บาท และเสียค่าวิ่งเต้นอีก 200,000 บาทให้กับใครอย่างไร คิง เพาเวอร์ไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ปัญหาการวิ่งเต้นให้พ้นคดีมีทุกที่ ซึ่งเมื่อไปติดต่อในช่องทางที่ไม่ถูกต้อง เรื่องการต้มตุ๋นก็เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ
นายจุลจิตต์ กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดคดีความและบุคคลทั้งสองคนได้ไปให้ข่าวกับสื่อมวลชนต่างประเทศลักษณะอย่ามาซื้อของที่คิงเพาเวอร์ประเทศไทย เพราะมีการต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวนั้น คิง เพาเวอร์ ได้นำภาพบุคคลทั้งสองคนเผยแพร่ทางเว็บไซต์ รวมทั้งในวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา คิง เพาเวอร์ ยังได้ทำหนังสือถึง นายควินตัน มาร์คเวล เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังขอให้สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ช่วยชี้แจงให้สื่อมวลชนอังกฤษรับทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ คิง เพาเวอร์ ยังไม่ทราบว่า สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษมีการชี้แจงสื่อมวลชนอังกฤษอย่างไร แต่หลังจากนี้ คิง เพาเวอร์ จะทำหนังสือสอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยอมรับว่า ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลเสียหายต่อภาพพจน์ คิง เพาเวอร์ และประเทศไทย จึงขอให้สื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดไปให้ข้อมูลเท็จและสร้างความเสียหายต่อภาพพจน์ของไทยและธุรกิจของไทย
โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปัญหาการลักทรัพย์ในร้านค้าปลอดภาษีมีเฉลี่ยเดือนละ 2-3 ราย ขณะที่ยอดขายของ คิง เพาเวอร์ ในปัจจุบันลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาการเมืองในประเทศ และการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยยอดขายลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 30-40% คิดเป็นมูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท