โตโย-ไทย คาด 6 เดือนหลังนี้แนวโน้มธุรกิจดีขึ้นกว่าครึ่งแรกที่ผ่านมา แนวโน้มกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นกว่า 40% ประเมินทั้งปีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1.1 หมื่นล้านบาท จากงานในมือมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 50% ย้ำปันผลระหว่างกาลได้ดีในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท จากพื้นฐานผลประกอบการที่ดี ไม่มีภาระเงินกู้
นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและสัญญา บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี52 ที่เติบโตขึ้นประมาณ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 141 ล้านบาท ส่วนทั้งปีเชื่อว่าจะสามารถรับรู้รายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 11,000 ล้านบาท จากการเข้าไปรับงานในต่างประเทศ ได้แก่ โรงปุ๋ยที่ประเทศโมร็อคโค จำนวนทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่า 450 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 15,000 ล้านบาท ซึ่งงานดังกล่าวจะเป็นรูปแบบของการบริหารงานที่ครบวงจร ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการคุยเสนอราคาค่าก่อสร้าง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปของราคาสัปดาห์หน้า และจะรู้ผลการประกวดราคาอย่างเร็วในปลายปี52-ไตรมาส1/53
อีกทั้งงานในยุโรปตะวันออกที่เป็นรูปแบบของโรงงานปิโตรเคมี มูลค่า 650 ล้านยูโร หรือ 31,000 ล้านบาท ซึ่งงานนี้บริษัทไม่ได้เข้าไปดำเนินการแบบครบวงจรเพียงแต่เข้าไปดูแลในเรื่องของการออกแบบวิศวกรรม และการช่วยจัดซื้อจัดหาเครื่องจักร ซึ่งเป็นรูปแบบของการบริหารงานก่อสร้าง โดยสัดส่วนงานที่บริษัทเข้าไปดูแลรับผิดชอบนั้นอยู่ที่ 5% โดยจะมีการเสนอราคาในเดือนหน้าปลายเดือนหน้าและคาดว่าจะรู้ผลช่วงเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งงานทั้ง 2 โครงการนี้ได้สร้างมาร์จิ้นที่ดีให้กับบริษัทเฉลี่ยกว่า 4% ถือว่าสูงกว่ามาร์จิ้นงานในประเทศที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5%
ปัจจุบันบริษัทชนะการประมูลงานก่อสร้างโรงงานเคมีผลิตสารไฮโดรเจนเพอร์อ๊อกไซด์จากบริษัท MTP HP JV(Thailand) มูลค่างานกว่า 1,075 ล้านบาท ด้วยกำลังการผลิต 3.3 แสนตันต่อปี ส่งผลให้มีมูลค่างานในมือ (Back Log) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 40-50% ที่เหลือไปรับรู้ปีหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังมีงานที่รอเข้าประมูลอีกมูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท ทั้งจากงานต่างประเทศทั้ง 2 งานและการที่บริษัทอยู่ระหว่างการรอทีโออาร์ของโครงการ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ที่มีมูลค่า 80-100 ล้านเหรียญ รวมถึงกลุ่มปูนซิเมนต์ที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานต่างประเทศอยู่ที่ 10-15% โดยตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปี จะสามารถเพิ่มสัดส่วนงานต่างประเทศเป็น 50% ได้
อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งมาจากผลประกอบการครึ่งปีแรกที่คาดว่ามีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 51สอดคล้องกับการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงกว่า 40% มาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำไรสุทธิสะสมกว่า 330 ล้านบาท และไม่มีภาระเงินกู้ยืมที่เสียดอกเบี้ยแต่อย่างใด อีกทั้งแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 และ 4 และสัญญาณการกลับมาของธุรกิจที่ดีขึ้น น่าจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลทั้งปีมากกว่า 8%
นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและสัญญา บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี52 ที่เติบโตขึ้นประมาณ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 141 ล้านบาท ส่วนทั้งปีเชื่อว่าจะสามารถรับรู้รายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 11,000 ล้านบาท จากการเข้าไปรับงานในต่างประเทศ ได้แก่ โรงปุ๋ยที่ประเทศโมร็อคโค จำนวนทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่า 450 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 15,000 ล้านบาท ซึ่งงานดังกล่าวจะเป็นรูปแบบของการบริหารงานที่ครบวงจร ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการคุยเสนอราคาค่าก่อสร้าง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปของราคาสัปดาห์หน้า และจะรู้ผลการประกวดราคาอย่างเร็วในปลายปี52-ไตรมาส1/53
อีกทั้งงานในยุโรปตะวันออกที่เป็นรูปแบบของโรงงานปิโตรเคมี มูลค่า 650 ล้านยูโร หรือ 31,000 ล้านบาท ซึ่งงานนี้บริษัทไม่ได้เข้าไปดำเนินการแบบครบวงจรเพียงแต่เข้าไปดูแลในเรื่องของการออกแบบวิศวกรรม และการช่วยจัดซื้อจัดหาเครื่องจักร ซึ่งเป็นรูปแบบของการบริหารงานก่อสร้าง โดยสัดส่วนงานที่บริษัทเข้าไปดูแลรับผิดชอบนั้นอยู่ที่ 5% โดยจะมีการเสนอราคาในเดือนหน้าปลายเดือนหน้าและคาดว่าจะรู้ผลช่วงเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งงานทั้ง 2 โครงการนี้ได้สร้างมาร์จิ้นที่ดีให้กับบริษัทเฉลี่ยกว่า 4% ถือว่าสูงกว่ามาร์จิ้นงานในประเทศที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5%
ปัจจุบันบริษัทชนะการประมูลงานก่อสร้างโรงงานเคมีผลิตสารไฮโดรเจนเพอร์อ๊อกไซด์จากบริษัท MTP HP JV(Thailand) มูลค่างานกว่า 1,075 ล้านบาท ด้วยกำลังการผลิต 3.3 แสนตันต่อปี ส่งผลให้มีมูลค่างานในมือ (Back Log) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 40-50% ที่เหลือไปรับรู้ปีหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังมีงานที่รอเข้าประมูลอีกมูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท ทั้งจากงานต่างประเทศทั้ง 2 งานและการที่บริษัทอยู่ระหว่างการรอทีโออาร์ของโครงการ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ที่มีมูลค่า 80-100 ล้านเหรียญ รวมถึงกลุ่มปูนซิเมนต์ที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานต่างประเทศอยู่ที่ 10-15% โดยตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปี จะสามารถเพิ่มสัดส่วนงานต่างประเทศเป็น 50% ได้
อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งมาจากผลประกอบการครึ่งปีแรกที่คาดว่ามีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 51สอดคล้องกับการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงกว่า 40% มาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำไรสุทธิสะสมกว่า 330 ล้านบาท และไม่มีภาระเงินกู้ยืมที่เสียดอกเบี้ยแต่อย่างใด อีกทั้งแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 และ 4 และสัญญาณการกลับมาของธุรกิจที่ดีขึ้น น่าจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลทั้งปีมากกว่า 8%
