สำนักงาน ก.ล.ต.เผย อยู่ระหว่างร่างเกณฑ์จัดตั้งกองทรัสต์ฟันด์ “REIT” ชูจุดเด่น ขยายกรอบลงทุนอสังหาฯ กว้างกว่าพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ แต่จำกัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี เล็งเดินหน้าผลักดันเต็มที่ คาดปลายปีได้ข้อสรุป และเห็นกองทุนได้ภายในปีนี้
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สายงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังอยู่ระหว่างพิจารณายกร่างหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) ซึ่งหลักเกณฑ์ในเบื้องต้น จะแตกต่างกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประเภท กอง 1 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่จะลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่ ก.ล.ต.กำหนดไว้เท่านั้น โดยกรอบการลงทุนของ REIT จะกำหนดให้สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างมากขึ้น คือสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกประเภท จะยกเว้นเพียงอสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงาน ก.ล.ต.ไม่อนุญาตให้ลงทุนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้กองทุน REIT จะลงทุนในสินทรัพย์ได้มากขึ้น แต่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะน้อยกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง 1 ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.จะทบทวนนโยบายการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนทั้งสองประเภทใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องหารือกับกรมสรรพากรอีกครั้ง
นายประเวช กล่าวว่า แนวคิดของสำนักงาน ก.ล.ต.เห็นว่า การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โครงการไหน โครงการนั้นก็น่าจะให้ประโยชน์แก่ประเทศ หรือมีส่วนสำคัญกับต่อการพัฒนาประเทศ เช่น หากเป็นโครงการอินฟราสตรัคเจอร์ควรจัดกลุ่มอยู่ใน POSITIVE REIT ส่วนโครงการอะไรที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศมาก ก็อาจจะตัดสิทธิลงไปอยู่ในกลุ่ม NEGATIVE REIT เช่นเดียวกับกอง 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่อสังหาริมทรัพย์มีปัญหา หลายฝ่ายเห็นว่าถ้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ฟื้น เศรษฐกิจโดยรวมก็จะลำบาก
“เบื้องต้นจะมีการลดสิทธิประโยชน์ภาษีของกอง REIT ในส่วนของนิติบุคคลที่เข้าลงทุนลง จากเดิมกอง 1 ที่ให้สิทธิประโยชน์ภาษีหากนิติบุคคลถือหน่วยลงทุน 3 เดือนก่อนหน้าและ 3 เดือนหลังก่อนรับปันผลของกองทุนจะไม่เสียภาษีปันผล ขณะที่ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะเสียภาษีเงินปันผล 10% ส่วนตัวกองทุนไม่ต้องเสียภาษี” นายประเวช กล่าว
สำหรับกองทุน REIT ตัวกองทุนไม่เสียภาษี แต่ผู้ลงทุนจะเสียภาษีเหมือนไปลงทุนโดยตรง เพราะมีรายได้กลับมาจากอสังหาริมทรัพย์ก็เหมือนเป็นรายได้จากค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% และเหลือเท่าไรก็รวมไว้ไปเสียภาษีปลายปีอีก ซึ่งกรณี ก.ล.ต.จะหารือกับกรมสรรพากรต่อไปเพื่อลดปัญหาการเสียภาษีซ้ำซ้อน
นายประเวช กล่าวว่า ภายหลังจากกอง REIT จัดตั้งขึ้นมาแล้ว ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง 1 สำนักงานจะจำกัดวงลงเรื่อยๆ เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ มาสู่ช่องทางของ REIT ให้หมด แต่ไม่ย้อนหลังกับกองเดิมที่มีอยู่ โดยสำนักงาน ก.ล.ต.จะมาเน้นโปรโมทและให้ความสำคัญกับกอง REIT แทน ซึ่งคาดว่าช่วงปลายปี 2552 นี้น่าจะได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุน และน่าจะเห็นกอง REIT ได้ภายในปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต.มีมติเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2552เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานก.ล.ต.ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัสต์ในธุรกรรมต่างๆ ในตลาดทุน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ลงทุนให้มีช่องทางการระดมทุนและการลงทุนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อแก้ไขข้อจำกัดบางประการในการระดมทุนในตลาดทุน ซึ่งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นหนึ่งประเภทธุรกรรมในตลาดที่จะใช้ทรัสต์ได้
สำหรับคุณสมบัติของผู้ให้บริการเป็นทรัสตี ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมดูแลและจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ด้วยการถือกรรมสิทธิ์หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินในกองทรัสต์ต้องเป็นธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม หรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยจะต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และต้องมีความพร้อมในด้านฐานะการเงิน ระบบงาน และบุคลากร
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สายงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังอยู่ระหว่างพิจารณายกร่างหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) ซึ่งหลักเกณฑ์ในเบื้องต้น จะแตกต่างกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประเภท กอง 1 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่จะลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่ ก.ล.ต.กำหนดไว้เท่านั้น โดยกรอบการลงทุนของ REIT จะกำหนดให้สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างมากขึ้น คือสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกประเภท จะยกเว้นเพียงอสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงาน ก.ล.ต.ไม่อนุญาตให้ลงทุนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้กองทุน REIT จะลงทุนในสินทรัพย์ได้มากขึ้น แต่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะน้อยกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง 1 ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.จะทบทวนนโยบายการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนทั้งสองประเภทใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องหารือกับกรมสรรพากรอีกครั้ง
นายประเวช กล่าวว่า แนวคิดของสำนักงาน ก.ล.ต.เห็นว่า การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โครงการไหน โครงการนั้นก็น่าจะให้ประโยชน์แก่ประเทศ หรือมีส่วนสำคัญกับต่อการพัฒนาประเทศ เช่น หากเป็นโครงการอินฟราสตรัคเจอร์ควรจัดกลุ่มอยู่ใน POSITIVE REIT ส่วนโครงการอะไรที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศมาก ก็อาจจะตัดสิทธิลงไปอยู่ในกลุ่ม NEGATIVE REIT เช่นเดียวกับกอง 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่อสังหาริมทรัพย์มีปัญหา หลายฝ่ายเห็นว่าถ้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ฟื้น เศรษฐกิจโดยรวมก็จะลำบาก
“เบื้องต้นจะมีการลดสิทธิประโยชน์ภาษีของกอง REIT ในส่วนของนิติบุคคลที่เข้าลงทุนลง จากเดิมกอง 1 ที่ให้สิทธิประโยชน์ภาษีหากนิติบุคคลถือหน่วยลงทุน 3 เดือนก่อนหน้าและ 3 เดือนหลังก่อนรับปันผลของกองทุนจะไม่เสียภาษีปันผล ขณะที่ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะเสียภาษีเงินปันผล 10% ส่วนตัวกองทุนไม่ต้องเสียภาษี” นายประเวช กล่าว
สำหรับกองทุน REIT ตัวกองทุนไม่เสียภาษี แต่ผู้ลงทุนจะเสียภาษีเหมือนไปลงทุนโดยตรง เพราะมีรายได้กลับมาจากอสังหาริมทรัพย์ก็เหมือนเป็นรายได้จากค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% และเหลือเท่าไรก็รวมไว้ไปเสียภาษีปลายปีอีก ซึ่งกรณี ก.ล.ต.จะหารือกับกรมสรรพากรต่อไปเพื่อลดปัญหาการเสียภาษีซ้ำซ้อน
นายประเวช กล่าวว่า ภายหลังจากกอง REIT จัดตั้งขึ้นมาแล้ว ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง 1 สำนักงานจะจำกัดวงลงเรื่อยๆ เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ มาสู่ช่องทางของ REIT ให้หมด แต่ไม่ย้อนหลังกับกองเดิมที่มีอยู่ โดยสำนักงาน ก.ล.ต.จะมาเน้นโปรโมทและให้ความสำคัญกับกอง REIT แทน ซึ่งคาดว่าช่วงปลายปี 2552 นี้น่าจะได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุน และน่าจะเห็นกอง REIT ได้ภายในปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต.มีมติเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2552เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานก.ล.ต.ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัสต์ในธุรกรรมต่างๆ ในตลาดทุน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ลงทุนให้มีช่องทางการระดมทุนและการลงทุนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อแก้ไขข้อจำกัดบางประการในการระดมทุนในตลาดทุน ซึ่งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นหนึ่งประเภทธุรกรรมในตลาดที่จะใช้ทรัสต์ได้
สำหรับคุณสมบัติของผู้ให้บริการเป็นทรัสตี ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมดูแลและจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ด้วยการถือกรรมสิทธิ์หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินในกองทรัสต์ต้องเป็นธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การจัดการกองทุนรวม หรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยจะต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และต้องมีความพร้อมในด้านฐานะการเงิน ระบบงาน และบุคลากร
