xs
xsm
sm
md
lg

3ตระกูลดังร่วมทุนลุยอสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

3 ตระกูลเก่า “มโนธรรมรักษา - เอกอัครวิจิตร – สวาทยานนท์ ” เจ้าของอาคารมหาทุนพลาซ่าและไทยซีซี จับมือร่วมทุน ผุด “เจ.เอส.พี.ทาวน์โฮม” ลุยอสังหาฯ ประกาศนโยบายพัฒนาโครงการแนวราบ พร้อมเร่งขยายโครงการใหม่ วางเป้าแต่ละปีต้องมีสินค้าในมือหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

นายทนง มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป กล่าวว่า เจ.เอส.พี กรุ๊ป เป็นการร่วมหุ้นระหว่างตระกูลมโนธรรมรักษา และตระกูลเอกอัครวิจิตร ที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด ได้ตกลงร่วมทุนก่อตั้งบริษัท เจ.เอส.พี.ทาวน์โฮม จำกัด ร่วมกับตระกูล “สวาทยานนท์” เจ้าของอาคารไทย ซีซี ทาวเวอร์ และอาคารมหาทุนพลาซ่า โดยบริษัท เจ.เอส.พี. ทาวน์โฮม มีทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท และมีแผนจะเพิ่มทุนในอนาคต เพื่อขยายฐานธุรกิจรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต

นายวีระกิตติ์ เอกอัครวิจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. ทาวน์โฮม จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทได้วางเป้าแต่ละปีต้องมีโครงการไม่ต่ำกว่า 3 โครงการ ซึ่งหลังจากการก่อตั้งบริษัทแล้ว ได้เปิดตัวโครงการ เดอะ บริติช สาทร-กัลปพฤกษ์ โครงการทาวน์โฮมผสมผสานโฮมออฟฟิศ บนเนื้อที่ 8ไร่เศษ มูลค่ารวม460ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้ซื้อที่ดินในย่านเดียวกันนี้เข้ามาเพิ่ม 11 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในรูปแบบเดียวกัน และมีแผนจะเปิดตัวโครงการในไตรมาสที่2 ปี2553 พัฒนาในรูปแบบทาวน์โฮม จำนวน 100 กว่ายูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.7-8 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 570 ล้านบาท นอกยังได้มีการซื้อที่ดินในอำเภอมหาชัย จำนวน 91 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์1ชั้น จำนวน1,000 หน่วย มูลค่าโครงการ 1,150ล้านบาท

“ ในช่วง2ปีจากนี้ บริษัทต้องมีสินค้าหมุนเวียนในมือต่อปี 900-1,000 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมกับการสร้างอัตราการขยายตัวที่ต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการเติบโตด้านยอดขายของบริษัท ”

นายวีระกิตติ์ กล่าวว่า สำหรับบริษัทเจ.เอส.พี.กรุ๊ป เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯภายใต้แบรนด์ ทรัพย์รุ่งเรือง และแบรนด์ เจ.เอส.พี.มานานกว่า 10ปี ที่ผ่านมา ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ ทรัพย์รุ่งเรือง มาแล้ว 4 โครงการ เน้นพัฒนาโครงการในย่านถนนพระราม 3 ,สมุทรปราการ และสุขุมวิท โดยปัจจุบันสามารถปิดการขายได้แล้ว 1โครงการ ส่วนอีก 3 โครงการยังอยู่ระหว่างการขาย ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ เจ.เอส.พี.ฯ ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 9โครงการ สามารถปิดการขายได้แล้ว 8โครงการ อีก1โครงการที่เหลือยังเปิดขายอยู่

“การร่วมทุนครั้งนี้ถือว่าเป็นการร่วมทุนเฉพาะการพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้บริษัท เจ.เอส.พี.ทาวน์โฮม จำกัด ส่วนโครงการเดิมที่พัฒนาภายใต้บริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป และโครงการที่พัฒนาโดยตระกูลสวาทยานนท์ นั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานภายใต้บริษัทใหม่ ทั้งนี้ ภายใน 2 ปี ทางบริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น ”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น เจ.เอส.พี.กรุ๊ป ได้ซื้อที่ดินเข้ามาใหม่4-5แปลงประกอบด้วย ที่ดินเลียบถนนกัลปพฤกษ์ 10ไร่ ที่ดินย่านบางปู 3 แปลง แปลงแรก 40ไร่ 22ไร่ และ23ไร่ตามลำดับ และที่ดินย่านบางปะกงอีก50ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวจะทยอยพัฒนาโครงการออกมารองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมในย่านดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ซื้อที่ดินในหาดในทอน จังหวัดภูเก็ต จำนวน30ไร่ซึ่งจะทยอยซื้อเพิ่มเข้ามาให้ครบ100ไร่ โดยที่ดินในภูเก็ตที่จะซื้อเข้ามานี้จะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและพลูวิลล่า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและกำหนดรูปแบบการก่อสร้างโครงการอยู่

ด้านนายกรวิชญ์ สวาทยานนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ศรีสยามพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เจ้าของสัญญาเช่าอาคารไทย ซี ซี ทาวเวอร์ และอาคารมหาทุนพลาซ่า กล่าวว่า สำหรับตระกูลสวาทยานนท์ เป็นกลุ่มธุรกิจสิ่งทอที่หันมาจับธุรกิจอสังหาฯในช่ว 20-30 ปีที่ผ่านมา โดยการดำเนินธุรกิจของกลุ่มจะเน้นการพัฒนาโครงการประเภทบ้านเดี่ยว,บ้านแฝด,ทาวน์เฮาส์,อาคารพาณิชย์ และอาคารสำนักงานให้เช่า ในเขตกรุงเทพฯ,สมุทรปราการ และพัทยา ซึ่งใช้เม็ดเงินลงทุนของตระกูลทั้งหมด

นอกจากการร่วมทุนกับ เจ.เอส.พี.กรุ๊ปจัดตั้ง บริษัทอสังหาฯแล้ว กลุ่มสวาทยานนท์ ยังมีแผนจะนำที่ดินสะสมย่านพระราม3 จำนวน 3.5 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม สูง 30 ชั้น 1 อาคาร จำนวนกว่า 700 ยูนิต ขายในราคาขายเริ่มต้น1.5 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาภายใต้บริษัท มหาทุนพลาซ่า จำกัด คาดว่าจะเปิดขายปลายปีนี้

“แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงขาลง ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะคอนโดฯย่านพระราม3 แต่กลุ่มสวาทยานนท์ มองว่าเป็นโอกาสในวิกฤต โดยจะเริ่มดำเนินการในช่วงเศรษฐกิจขาลง เมื่อโครงการแล้วเสร็จพร้อมขายก็จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวพอดี”

นอกจากในส่วนของการพัฒนาโครงการในกทม. ทางกลุ่มยังมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบในเขตกรุงเทพฯอีกประมาณ 3 โครงการในปีนี้ ส่วนในปี2553 กำลังพิจารณาว่าจะขึ้นโครงการใหม่อีก 2 โครงการหากสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกลุ่มที่จะพัฒนาโครงการปีละประมาณ 2-3 โครงการ

ส่วนโครงการในต่างจังหวัดนั้น บริษัทได้เข้าไปพัฒนาโครงการในพื้นที่ พัทยา มา5-6 ปีแล้ว โดยโครงการแนวราบในย่านพัทยาจะเน้นทำเลฝั่งถนนสุขุมวิท จับลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ราคา1-5 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาไปแล้ว 19 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “สิริศา” สำหรับการพัฒนาโครงการในพัทยา ทางกลุ่มจะไม่พัฒนาโครงการที่อยู่ติดฝั่งทะเล เพราะราคาที่ดินสูง การแข่งขันสูง โดยเฉพาะโครงการอาคารสูง ซึ่งส่วนใหญ่เน้นกลุ่มไฮเอนด์และระดับกลาง ขณะนี้มีการชะลอตัวลงมาก ขณะที่โครงการแนวราบยังขายได้ดี

สำหรับอาคารมหาทุนพลาซ่า ย่านเพลินจิต ซึ่งเป็นที่ดินประมาณ 10 ไร่ เช่าจากตระกูล “ดุลละลัมพะ” ที่ดำเนินการมาประมาณ 30 ปีแล้ว ขณะนี้เหลือสัญญาเช่าอีกประมาณ 15 ปี และได้มีกลุ่มทุนหลายกลุ่มเข้ามาเจรจาขอเช่าเซ้งที่ดิน โดยเฉพาะกลุ่มทุนของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ต้องการขยายพื้นที่การพัฒนาเพิ่ม
กำลังโหลดความคิดเห็น