เอแบคโพลล์ เผยความเชื่อมั่น ศก.-การบริโภคใน ปท.มีสัญญาณที่ดีขึ้น ตัวเลขเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คนไทยยังมองโลกในแง่ดี พร้อมเชื่อมั่นทิศทาง ศก.ไทย น่าจะดีขึ้นได้ โดยคนส่วนใหญ่ 70% พร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ข้างหน้า แต่มีอีก 30% ที่ยังวิตกกังวล
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคมการจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเอแบคเรียลไทม์โพลล์ เรื่องความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจและความตั้งใจจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคระดับครัวเรือน โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัด 1,237 ครัวเรือน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่ หรือเกือบร้อยละ 90 ติดตามข่าวสารเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยประชาชนที่มองว่าเศรษฐกิจของประเทศเริ่มดีขึ้นในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.6 ในเดือนเมษายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 11.8 ในเดือนพฤษภาคม 2552 และร้อยละ 17.4 ในเดือนมิถุนายน 2552
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 80 ยังมองว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยภาพรวมยังแย่อยู่ แต่เมื่อถามถึงสภาพรายได้วันนี้ของประชาชนที่ถูกศึกษา พบว่า แนวโน้มของประชาชนที่ระบุว่ารายได้ดี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21.9 ในเดือนเมษายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 34.4 ในเดือนพฤษภาคม 2552 และร้อยละ 38.9 ในเดือนมิถุนายน 2552 ขณะที่สัดส่วนของประชาชน ที่ระบุว่า สภาพรายได้วันนี้ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่ดี มีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 78.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 61.1 ตามลำดับ
ขณะที่ประชาชนที่รู้สึกมั่นคงในหน้าที่การงานของตนเองในปัจจุบัน พบว่า มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.5 ในเดือนเมษายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 56.1 ในเดือนมิถุนายน 2552 นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความตั้งใจจะใช้จ่ายเงินกับสินค้าขนาดใหญ่ราคาสูงในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือประมาณช่วงปีใหม่ 2553 พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่ตั้งใจจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์เครื่องใหม่ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.1 ในเดือนเมษายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.9 ในเดือนมิถุนายน 2552 เช่นเดียวกับสัดส่วนของคนที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่ และบ้านหลังใหม่ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มจากร้อยละ 6.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 11.3 และจากร้อยละ 6.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.4 ตามลำดับ
เมื่อถามถึงการตัดสินใจเลือกของประชาชนที่ถูกศึกษาว่า เลือกที่จะ “หวัง” และก้าวต่อไปข้างหน้า หรือเลือกที่จะ “กลัว” ต่อเหตุการณ์ข้างหน้า ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.2 เลือกที่จะหวังและก้าวต่อไปข้างหน้า ในขณะที่ร้อยละ 30.8 ระบุเลือกที่จะกลัวต่อเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น
